ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดีในพื้นที่สาธารณะนี้ยังไงก็ขอถือโอกาสเอาบทความ "ตัดสินใจด้วยกัน : พลังของการใช้วิจารณญาณสาธารณะ Public Deliberation: การร่วมหารือเพื่อการตัดสินใจ" เพื่อเป็นแนวทางจุดประกายด้วยวิถีที่เป็นเป้าหมายไปในตัวครับ โดยบทความดังกล่าวนำมาจาก
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ทั้งนี้ทางบรรณาธิการเวปไซน์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกล่าวไว้เกี่ยวกับบทความนี้ว่า บทความแปลชิ้นนี้ กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้รับมาจากผู้แปล เดิมชื่อตัดสินใจด้วยกัน : พลังของการใช้วิจารณญาณสาธารณะMaking choices together: The Power of Public Deliberation เขียนโดย : Kettering Foundation - แปลโดย : พิกุล สิทธิประเสริฐกุลเป็นเรื่องเกี่ยวกับการหารือสาธารณะ เพื่อแสวงหาฉันทามติบนทางเลือกต่างๆ อย่างใช้วิจาณญาน
โดยคำนึงถึงข้อเท็จจริง คุณค่า และผลที่จะตามมาในการตัดสินใจ โดยแบ่งเป็นหัวข้อดังต่อไปนี้
1. คนที่ใช้วิจารณญาณสาธารณะ
2. ประวัติของการใช้วิจารณญาณสาธารณะ
3. ทำไมต้องใช้วิจารณญาณ
4. อะไรคือ การใช้วิจารณญาณสาธารณะและมันต่างกันอย่างไร
5. อะไรคือผลผลิตของการใช้วิจารณญาณ
6. เราทำอะไรได้บ้างจากผลผลิตของการใช้วิจารณญาณ
7. การใช้วิจารณญาณจะเปลี่ยนความคิดเห็นของเราที่มีต่อความคิดเห็นของคนอื่น
8. กรณีที่จะใช้วิจารณญาณสาธารณะ
9. การใช้วิจารณญาณเพิ่มความสามารถของชุมชนในการกระทำการร่วมกัน
10. การเป็น ผู้ดำเนินการประชุม สำหรับการใช้วิจารณญาณ
11. การจัดเวทีพูดคุย
บทความนี้เผยแพร่บนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนครั้งแรกเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๐
ตัดสินใจด้วยกัน : พลังของการใช้วิจารณญาณสาธารณะ
Public Deliberation: การร่วมหารือเพื่อการตัดสินใจ
พิกุล สิทธิประเสริฐกุล : แปล
โครงการชีวิตสาธารณะและเมืองน่าอยู่ สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา
1. คนที่ใช้วิจารณญาณสาธารณะ
เด็กวัยรุ่นทั่วอเมริกากำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ถูกไล่ออกจากโรงเรียน เดินไปมาตามถนนโดยไม่มีอะไรทำ นอกจากหาเรื่องใส่ตัว แต่ที่ Birmingham รัฐ Alabama เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ที่คนที่นั่นได้ทำมากไปกว่าการนั่งวิตกกังวลและบ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้. แต่ละปี มีนักเรียนช่วงอายุ 11 - 15 ปี ถูกไล่ออกจากโรงเรียน เพราะเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีทำร้ายร่างกาย และคดีที่เกี่ยวข้องกับปืน, มีด หรืออาวุธอื่นๆ ที่ดีที่สุดที่เด็กพวกนี้จะทำได้ คือ การกลับเข้าโรงเรียนใหม่ในเทอมหน้า โดยถูกตราหน้าว่าเป็น "ตัวสร้างปัญหา" และต้องเรียนซ้ำชั้น
เมื่อ Peggy F. Sparks ผู้อำนวยแผนกการศึกษาชุมชน ของโรงเรียนใน Birmingham ตั้งคำถามว่า "คุณจะทำอะไรกับเด็กเหล่านั้นได้บ้าง?" เพื่อหาคำตอบสำหรับปัญหานี้ Spark ได้จัดให้มีเวทีพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยมีเจ้าหน้าที่ของเมือง และเจ้าหน้าที่จากองค์กรเยาวชนมาร่วมเป็นผู้ดำเนินการประชุมและทำหน้าที่บันทึกรายงาน ซึ่งเป็นบทบาทที่ทำให้คนเหล่านี้ได้เข้าร่วม แต่ไม่ทำให้การประชุมเป็นไปแค่การทำประชาพิจารณ์
ผู้ดำเนินการประชุม กระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมทุกวัย ได้พิจารณาอย่างรอบคอบถึงแนวทางต่างๆ ที่จะใช้แก้ปัญหานี้ ไม่เพียงแค่ 1 หรือ 2 แนวทางเท่านั้น วัตถุประสงค์คือ สร้างข้อตกลงร่วมสำหรับการปฏิบัติการ (common ground for action) นั่นเอง. ทิศทางหนึ่งที่ผู้เข้าร่วมพอใจคือ การทำโครงการ CARES - Comprehensive At Risk Education Services (ความห่วงกังวล-ความเข้าใจในเรื่องความเสี่ยงของบริการการศึกษา) ดำเนินการโดยกลุ่มวัยรุ่นจากโรงเรียนมัธยม 8 แห่ง จำนวน 350 คน ทำหน้าที่เป็นที่สภาปรึกษา และมีการประชุมทุกสัปดาห์
โครงการอื่นๆ ที่เกิดจากเวทีหารือนี้ คือ โครงการจ้างงานวัยรุ่น และแคมป์ Birmingham ที่ดำเนินการโดยวัยรุ่น สำหรับเยาวชนรายได้น้อย. อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จสูงสุดของ CARES คือ การให้โอกาสเยาวชนได้เรียนรู้ในการหาทางเลือกสำหรับเรื่องยากๆ ร่วมกัน โครงการนี้ทำให้ Spark เข้าใจมุมมองของเยาวชนต่อปัญหาของพวกเขามากขึ้น และช่วยให้เธอและแผนกของเธอรู้ว่าจะทำให้เยาวชนเหล่านั้น เข้าร่วมในการแก้ปัญหาของตนเองได้อย่างไร
กรณีตัวอย่าง 1
สำหรับคนส่วนใหญ่ เป็นการขอที่ธรรมดามาก เมื่อเด็กหญิงอายุ 3 ขวบขอให้พ่อของเธออ่านหนังสือให้ฟัง แต่เมื่อ Walter Miles พยายามแกล้งทำเป็นอ่านนิทานเรื่องนั้น ลูกสาวของเขารู้ว่ามันไม่ใช่เนื้อหาอย่างที่เธอเคยได้ยิน และนั่นทำให้เขาตัดสินใจว่าจะต้องเรียนรู้การอ่านหนังสือให้ได้
ช่างเครื่องยนต์อายุ 41 ปี เข้าร่วมโครงการรู้หนังสือที่ San Francisco ที่ซึ่งเขาไม่เพียงเรียนการอ่านหนังสือ แต่ยังเรียนรู้ในการเข้าร่วมกับคนข้างเวที ตามภาษาของเขาโดยการช่วยเหลือของครู เขาได้อ่านหนังสือชุดสั้นๆ เกี่ยวกับนโยบายสาธารณะ เช่น เสรีภาพในการพูด และค่ารักษาพยาบาลราคาแพง หลังจากนั้น เขาเข้าร่วมเวทีพูดคุยแบบที่ใช้วิจารณญาณสาธารณะซึ่งจัดโดยสภาผู้รู้หนังสือ เพื่อพยายามตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ร่วมกับผู้อื่น
ตอนแรกเขาเพียงแต่ฟังการพูดคุยเท่านั้น ต่อมาเขาถามตัวเองว่า "เราจะเข้าร่วมเกี่ยวข้องด้วย หรือจะไม่ยุ่งกับมันดี" เพราะหลายปีมาแล้วที่เขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาต้องทำคือ แค่ดูแลมุมเล็กๆ ที่เขาอยู่ให้ดี แต่เมื่อเขาได้เริ่มพูดเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ "เสรีภาพในการพูดหมายความว่าอะไร" เขาพบว่า การเก็บความคิดเห็นไว้กับตัวเอง ทำให้เขาเจ็บปวดมากกว่าที่คิด. "ฉันตัดสินใจว่า โลกของฉันจะสงบสุข และไม่ถูกรบกวนได้อย่างไร ถ้าส่วนที่เหลือไม่สงบสุข ฉันจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนข้างเวทีเหล่านี้"
ทุกวันนี้ Miles ได้เข้าร่วมอย่างแข็งขันกับโครงการ Key to Community ซึ่งกระตุ้นให้คนหนุ่มสาวเข้าร่วมการเลือกตั้ง. "พวกเขาบอกฉันว่าเป็นการเสียเวลาเปล่าๆ ที่จะไปลงคะแนน… ทำไมจะต้องไปยุ่งด้วยล่ะ? ฉันบอกพวกเขาว่าฉันก็รู้สึกเช่นเดียวกัน แล้วเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้ฟัง รวมทั้งชี้ให้เห็นว่าการเลือกทางเลือกวันนี้ ทำให้เกิดผลในอนาคตได้อย่างไร และโดยการไม่เข้าร่วมในวันนี้ จะทำให้พวกเราต้องเสียใจในอีก 10 ปีข้างหน้า ฉันไม่ตระหนักถึงความจริงนี้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับฉัน จนอายุเข้า 30 ปี"
แม้ว่า Miles จะมีอารมณ์ขันในการเล่าถึงการต่อสู้ของเขา ดูเหมือนว่าเขากำลังทำเพื่อชดเชยกับเวลาที่เสียไป และใช้โครงการนี้ช่วยให้คนอื่นๆ ไม่ให้ผิดพลาดเหมือนกับที่เขาเป็น (คือไม่สนใจเรื่องบ้านเมือง) มีคนไม่มากนักที่รณรงค์เรื่องการออกมาเลือกตั้ง โดยใช้แนวทางวิจารณญาณสาธารณะ แต่ Miles ก็ทำ เพราะเห็นว่าการใช้วิจารณญาณสาธารณะ เปิดประตูให้กับชีวิตสาธารณะ
กรณีตัวอย่าง 2
ทุกคนในเวทีพูดคุยที่ Grand Rapids รู้เรื่องเด็กฆาตกรรมเด็ก ในเวทีนั้นมีหญิงคนหนึ่งเสียลูกชาย 2 คน ไปกับความรุนแรงที่ไร้สาระ คนหนึ่งถูกฆ่าตายในอพาร์ทเมนท์ของเขาเอง อีกคนถูกฆ่าขณะยืนอยู่ที่ตู้โทรศัพท์ เธอนั่งฟังอย่างเงียบขณะที่คนอื่นๆ กำลังหารือกันว่าจะทำอะไรได้บ้าง เพื่อหยุดยั้งความรุนแรงในหมู่วัยรุ่นนี้ จนกระทั่งตอนท้ายของเวทีพูดคุย เธอพูดขึ้นอย่างนุ่มนวล แต่เป็นการสรุปสาระของการประชุมว่า "เราต้องทำอะไรบางอย่าง เราต้องร่วมกันหยุดยั้งความรุนแรงนี้"
หลายสัปดาห์ต่อมา คนที่รู้เรื่องของเธออาจจำเธอได้ในหน้าหนังสือพิมพ์ เธอได้เข้าร่วมงานกับเทศมนตรี เป็นผู้นำในการรณรงค์ที่นำไปสู่การกระตุ้นให้สาธารณะยินยอมจ่ายภาษีเพิ่ม เพื่อจ้างตำรวจเพิ่มอีก 95 คน สำหรับการตรวจตราความสงบของเมือง
เรื่องราวเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า การใช้วิจารณญาณสามารถทำให้คนเข้ามาเกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาได้มากขึ้น เพราะพวกเขารวมพลังกันเพื่อนำไปสู่ความริเริ่มใหม่ๆ ของสาธารณะ พวกเขาบอกเล่าถึงผลจำนวนหนึ่งที่ได้จากการใช้วิจารณญาณ แต่ไม่ได้ลงลึกในสาระสำคัญของมัน ซึ่งไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยโครงการใหม่ๆ หรือการออกเสียงเพื่อเก็บภาษีเพิ่ม
เรื่องเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการใช้วิจารณญาณ นานเป็นสิบปีที่ Grand Rapids ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวทางการแก้ปัญหาของชุมชน เรื่องราวในที่อื่นๆ อาจไม่ชัดเจนนัก ที่ประชาชนเข้ามาร่วมรับผิดชอบมากขึ้นในการหยุดยั้งปัญหาความรุนแรง แต่เรื่องราวบางเรื่อง อาจจะยังไม่สามารถเล่าสู่กันฟังได้ จนกว่าวัยรุ่นที่ Birmingham โตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ ดังเช่นที่ Walter Miles ที่เห็นศักยภาพของตัวเอง ที่จะลงมือปฏิบัติการในเรื่องส่วนรวมได้ ไม่ใช่เป็นเพียงผู้เข้าร่วมโครงการต่างๆ เท่านั้น
เราสามารถเขียนเรื่องราวเหล่านี้ได้ ถ้าเราพอจะเข้าใจว่าการใช้วิจารณญาณ คือ อะไร และรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้ได้มาซึ่งทางเลือกร่วมกัน และนี่คือจุดประสงค์ของหนังสือเล่มนี้ กล่าวสั้นๆ ว่า การใช้วิจารณญาณ ไม่ใช่แค่เป็นการอภิปรายเพื่อส่งเสริมความเข้าใจร่วมกัน แต่เป็นวิธีการตัดสินใจที่ทำให้เราลงมือกระทำการร่วมกันได้ โดยจะถูกท้าทายให้เผชิญกับสิ่งที่ต้องแลกและผลพวงที่ไม่น่าพึงพอใจจากทางเลือกอื่นๆ และการทำงานเพื่อก้าวผ่านประเด็นที่อ่อนไหวนั้นด้วยกัน อันเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจของสาธารณะ
2. ประวัติของการใช้วิจารณญาณสาธารณะ
ผลของการใช้วิจารณญาณไม่ใช่จะชัดเจนเหมือนเรื่องที่เล่ามาทุกครั้งไป บางคนกล่าวว่า ประโยชน์สูงสุดของการทำ "การใช้วิจารณญาณ" คือ การมีเวทีการประชุม ที่จะช่วยให้คนได้จัดการกับประเด็นที่เป็นนโยบายสาธารณะที่ซับซ้อน หรือเพื่อให้เข้าใจมุมมองที่แตกต่างกัน ก่อนที่จะเริ่มลงมือทำกิจกรรมบางอย่าง บางคนอาจกล่าวว่า การมีส่วนร่วมทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลง เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนมากขึ้น เต็มใจที่จะเข้าร่วมในกิจกรรมของพลเมืองมากขึ้น และบางคนกล่าวว่าหลังจากการหารือในเวทีซ้ำกันหลายครั้ง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวทางการตัดสินใจ และการแก้ปัญหาของชุมชน การใช้วิจารณญาณซ้ำๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในคน เกิดความเชื่อมั่น และในที่สุดสามารถเปลี่ยนแปลงชุมชนได้
คนอเมริกันที่มีการใช้วิจารณญาณอยู่ทุกวันนี้ มีรากลึกมาจากแนวทางการปฏิบัติทางการเมืองที่เก่าแก่และมีลักษณะเฉพาะที่สุด ความจริงอาจกล่าวได้ว่า การใช้วิจารณญาณสาธารณะ คือ แรงผลักสำคัญในการสร้างประเทศนี้ขึ้นมา เวทีการใช้วิจารณญาณที่เรียกว่าการประชุมของเมือง เริ่มมีมามากกว่า 100 ปีที่แล้ว ก่อนการปฏิวัติและก่อนการสร้างประเทศ
ประชาธิปไตยของอเมริกาเกิดในช่วงปี 1730 ที่เมือง Dorchester รัฐ Massachusetts ที่นั่นมีทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งที่ลาดลงสู่อ่าว ทำให้เมืองนี้เป็นที่ที่วิเศษสุด สำหรับการเลี้ยงปศุสัตว์ แต่ฝูงสัตว์กลับหนีออกนอกรั้ว ซึ่งทำให้เกิดปัญหา 2 ประการ คือ
1) จะปกป้องฝูงปศุสัตว์เหล่านั้นได้อย่างไร และ
2) จะตัดสินใจเลือกวิธีที่จะปกป้องได้อย่างไร
เมืองนี้ไม่มีรัฐบาลท้องถิ่นที่จะจัดการกับปัญหาแบบนี้ ไม่มีแม้เวทีที่จะหารือกันในเรื่องสาธารณะ ที่เดียวที่คนมาชุมนุมกัน คือ ที่โบสถ์ในวันอาทิตย์ ซึ่งไม่ใช่ที่ที่จะมาหารือกันในเรื่องแบบนี้. น่าเสียดายที่ไม่มีการบันทึกเรื่องดังกล่าวไว้ให้เป็นหลักฐาน แต่เรารู้ว่า John Maverick และผู้นำชุมชนคนอื่นๆ ได้มาหารือกันเรื่องประชาธิปไตยของอเมริกา เราสามารถจินตนาการได้ว่า Maverick และผู้นำคนอื่นๆ พูดว่า "เรามีปัญหา เราต้องหารือกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ เอาเป็นว่ามาคุยกันวันจันทร์นี้เถอะ"
ที่โรงเรียน เราถูกสอนให้รู้จักคำที่น่าตื่นเต้น เช่น "ให้เสรีภาพแก่ฉัน หรือไม่ก็ความตาย" แต่กลับไม่มีใครให้ความสำคัญของการพูดว่า "เรามีปัญหา มาหารือกันเถอะ" ซึ่งควรสงวนไว้ให้เป็นสุนทรพจน์ชั้นเลิศของอเมริกา เพราะคนอเมริกันเกือบทุกคนเคยได้ยิน และได้พูดคำนี้ออกมาไม่ที่ใดก็ที่หนึ่ง. เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการประชุมครั้งแรกของเมือง ทำให้เกิดวัฒนธรรมทางการเมือง นั่นคือ คนในสมัยอาณานิคมได้เริ่มมีการพบปะกันทุกเดือน ไม่เพียงแค่เมื่อปศุสัตว์ออกนอกรั้วเท่านั้น
การพบปะกันของคนที่เมือง Dorchester นี้ นำไปสู่การสร้างประเทศ ซึ่งกลายมาเป็นรากฐานของระบบการเมืองของอเมริกา นั่นคือ การประชุมของเมือง. แต่การประชุมของเมืองในสมัยแรกๆ ไม่เหมือนกันเลยกับการประชุมเมืองในยุคปัจจุบัน ที่เจ้าหน้าที่เป็นฝ่ายพูด และบางครั้งตอบคำถาม เพราะการประชุมเมืองในสมัยนั้น เป็นโอกาสที่คนในเมืองจะได้สะท้อนหรือทบทวนและพิจารณาอย่างมีวุฒิภาวะถึงเรื่องราวต่างๆ
ชาวอาณานิคมในสมัยนั้น เลือกที่จะไม่รับเอารูปแบบการปกครองของอังกฤษ แต่กลับบริหารเมืองโดยการประชุมของเมือง การประชุมนี้ไม่ได้มีอำนาจในตัวเอง แต่เป็นอำนาจที่มาจากการตัดสินใจร่วมกันของคนในเมือง ที่จะกระทำกิจกรรมบางอย่างร่วมกัน ซึ่งเป็นความผูกพันให้ชาวอาณานิคมอยู่ด้วยกัน และเป็นรากฐานสำหรับความมุ่งมั่น และพากเพียรของพวกเขา
พลเมืองและองค์กรสาธารณะเหล่านี้ ดำเนินการต่อไปตลอดช่วงการปฏิวัติ และการสร้างประเทศ ในสมัยนั้น เกิดการเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายระหว่างเมืองที่เป็นอาณานิคมต่างๆ เพื่อการเคลื่อนไหวทางการเมือง เครือข่ายนี้ตั้งขึ้นในปี 1772 โดย Samuel Adams ได้ตั้งคณะกรรมการ 21 คน เป็น "committee of correspondence" ในการสร้างพันธะกับเมืองอื่นๆ และเพื่อชี้แจงสถานภาพของอเมริกาต่อประชาคมโลก. ภายใน 15 เดือน เมืองอาณานิคมทุกเมือง ยกเว้น 2 เมือง ได้ก่อตั้ง"committee of correspondence" ของเมืองตัวเองขึ้นมา ซึ่งทำให้ประเพณีการหารือกันในแต่ละเมืองยิ่งมีมากขึ้น และการที่ให้เมืองเล็กๆ ได้มีส่วนในการกำหนดร่วมกัน ทำให้เกิดแบบอย่างของกระบวนการทางการเมืองที่มีพลัง
เมื่อถึงเวลาของการปฏิวัติอเมริกา สาธารณะเริ่มสนใจต่อคำถามว่า สงครามเพื่ออิสรภาพนี้จะสำเร็จหรือไม่ ในการต่อสู้กับสิ่งที่เรียกว่ามหาอำนาจของโลก Samuel Adams จากเมือง Braintree รัฐ Massachusetts ทำหน้าที่ยื่นข้อเสนอเพื่อประกาศเสรีภาพ ความเชื่อของ Adams เรื่องการประกาศอิสรภาพนี้ มีรากฐานจากสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากผู้คนและพลังที่ได้จากในเวทีสาธารณะ ต่อคำถามถึงความกลัวที่จะล้มเหลวในการปฏิวัตินี้ เขาตอบว่า "แต่เราจะไม่ล้มเหลว หลักการที่เรากำลังต่อสู้เพื่อการปฏิวัตินี้ จะทำให้มีทหารเข้าร่วมรบกับเรา หากเราจริงใจกับประชาชน พวกเขาจะนำพาเรา จะนำพาพวกเขาเอง สู่ความรุ่งโรจน์ของการต่อสู้ครั้งนี้ ฉันไม่สนใจว่าใครจะเคยพบกับความเอาแน่ไม่ได้ของคนอื่นๆ แต่ฉันรู้จักคนของเราดี"
การประชุมของเมืองกระตุ้นให้ Thomas Jefferson ประกาศว่า "ความแข็งขันที่เกิดขึ้นในขบวนการปฏิวัติของเรานี้คือ การเริ่มต้นที่มีรากฐานมาจากสาธารณรัฐน้อยๆ แห่งนี้" เขาเชื่อว่าสาธารณรัฐแห่งนี้ ได้ทำให้ทั้งชาติมีการกระทำที่มีพลัง การพูดคุยกันของเมืองได้ให้เวลาที่เราต้องการสำหรับการสะท้อน (reflection) และการพิจารณาเรื่องต่างๆ อย่างใช้วิจารณญาณ ดังที่ John Adam ได้บอกแก่ภรรยาของเขาว่า "เป็นสิ่งจำเป็นในการเป็นยาแก้สำหรับการกระทำการที่รีบเร่ง" (ซึ่งอาจล้มเหลวได้)
ความเข้มแข็งของการประชุมของเมือง กลายมาเป็นความเข้มแข็งของรัฐธรรมนูญของอเมริกา แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้กล่าวว่าสาธารณะจะแสดงตัวเองได้อย่างไร (นอกจากโดยการลงคะแนนเสียง) Thomas Jefferson มีความละเอียดอ่อนต่อการละไว้ไม่กล่าวถึงในประเด็นนี้ จึงกระตุ้นให้มีการประชุมของเมืองผ่านระบบที่เขาเรียกว่า "Ward system" เขาเข้าใจว่าหากไม่มีสถานที่สำหรับให้สาธารณะระบุสิ่งที่พวกเขาสนใจ หรือได้สร้างเสียงของตัวเองขึ้นมา รัฐบาลจะไม่สามารถปกครองได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่า "Ward system" จะไม่ถูกนำมาปฏิบัติ แต่ การประชุมของเมืองกลายเป็นประเพณีทางการเมืองของอเมริกา
การใช้วิจารณญาณสาธารณะ ยังคงดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในองค์การของภาคประชาชน และองค์กรทางการศึกษาที่จัดให้มีเวทีประเด็นสาธารณะระดับชาติ (National Issues Forums : NIF)
ตั้งแต่ปี 1982 ได้เกิดเวทีการใช้วิจารณญาณขึ้นในชุมชนทั่วทั้งอเมริกา ซึ่งเวทีนี้ ได้นำพลเมืองมาพิจารณา หารือกัน เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เพื่อแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาเหล่านั้น. เวทีแบบที่ได้กล่าวมาแล้ว ที่ Bermingham, Sanfrancisco และ ที่ Grand Rapids เป็นการตอบสนองในระดับท้องถิ่น โดยเครือข่ายขององค์กร, กลุ่ม หรือศูนย์ต่างๆ ในท้องถิ่น
องค์กรเหล่านี้มักใช้ หนังสือประเด็นสาธารณะ (Issue books) ที่ Kettering Foundation และ Public Agenda ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยที่เป็นกลางได้จัดทำขึ้น หนังสือนี้รวบรวมประเด็นสำคัญต่างๆ จากทุกท้องถิ่นทั่วประเทศ เช่น ประเด็นเกี่ยวกับ อาชญากรรม, การงาน, การดูแลสุขภาพ, สิ่งแวดล้อม และการศึกษา
หนังสือนี้ รายงานถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากเวทีการใช้วิจารณญาณนับพันแห่ง เขียนถึงคำถามที่คนมักจะถามบ่อยที่สุด เมื่อตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมเวทีการใช้วิจารณญาณสาธารณะดีหรือไม่ เช่น ทำไมต้องใช้วิจารณญาณ และ วิจารณญาณสาธารณะ คืออะไร และมันแตกต่างกันอย่างไร? อะไรกันแน่ที่เกิดขึ้นในเวทีพูดคุยประเภทนี้ และ การใช้วิจารณญาณสาธารณะ ทำให้เกิดอะไรขึ้น และมันดีอย่างไร? และเราจะเข้ามาเกี่ยวข้องได้อย่างไร? เป็นต้น
3. ทำไมต้องใช้วิจารณญาณ
ถ้าถามคนรุ่นเก่าของ Dorchester คำถามนี้ อาจตอบง่ายๆ ว่า "เพื่อแก้ปัญหา" ถ้าถามคำถามนี้จากประวัติศาสตร์ทั้งหมดของชาติ คำตอบอาจเป็นว่า การใช้วิจารณญาณ สร้างความเป็นสาธารณะให้กับประชาธิปไตยของอเมริกา และให้สาธารณะได้นิยาม ผลประโยชน์ของสาธารณะ แน่นอนว่ามันไม่มีที่สิ้นสุดของบทบาทของการใช้วิจารณญาณ
ถ้าถามคำถามนี้กับคนที่กำลังจะไปเข้าร่วมเวทีในวันนี้ คุณจะได้ฟังเหตุผลว่า เข้าร่วมเพื่อการพัฒนาของตัวเอง ไปจนถึงเข้าร่วมเพื่อการเปลี่ยนแปลงระบบการเมือง. เหตุผลบางอย่างเป็นเรื่องส่วนตัว บางคนที่เข้าร่วมเวที ต้องการเรียนรู้ทักษะในการตัดสินใจแบบใหม่ ที่เขาสามารถใช้ได้ในฐานะพลเมือง เพื่อทำความเข้าใจกับประเด็นเหล่านั้นให้ดีขึ้น และเชื่อมโยงเข้ากับกระบวนการทางการเมือง หรือเพื่อรับรู้ความรู้สึกของการเป็นกลุ่มเป็นพวก พวกเขาเหนื่อยหน่ายกับการเฝ้ามองมาจากภายนอก
บางคนมีชุมชนอยู่ในใจ หรือมีบทบาทของสถาบันของเขาในชุมชน เขาอาจบอกว่า เขาต้องการสร้างความเข้มแข็งให้กับโครงสร้างของภาคประชาสังคม (civic infrastructure) หรืออาจบอกว่า สถาบันของเขากำลังทำบทบาทตัวกระตุ้นในชุมชน โดยการจัดให้มีเวทีพูดคุยกัน หรือเขากำลังหาแนวทางการทำงานที่ดีกว่าให้กับองค์กร หรือสถาบันของเขา บางคนอาจเข้าร่วมเพราะสนใจในเรื่องสาธารณะ บางคนอาจเห็นว่าเวทีพูดคุยเป็นหนทางในการกระตุ้นคนให้มาทำงานเพื่อชุมชน
หลายคนอาจเห็นความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่ดำเนินไปในชุมชน และการพูดคุยกันของผู้คนในชุมชน พวกเขาต้องการวิธีการพูดคุยที่แตกต่างกันออกไป เมื่อคนเราสามารถพูดกันได้ในระดับที่เท่ากัน แม้ว่าพวกเขาจะมาจากส่วนต่างๆ ของเมือง บางคนอาจบอกว่าเขาต้องการที่จะแสดงความคิดเห็นโดยไม่ต้องเป็นศัตรูของใคร และเขาต้องการโอกาสในการได้ยินเสียงของคนอื่นๆ
การเปลี่ยนแปลงวิธีการพูดคุย จะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ ซึ่งสะท้อนจากทัศนะเหล่านี้
- "สิ่งที่คุณต้องการ คือ คนงานแบบฉัน และพนักงานดับเพลิงจากที่โน่น มาพูดคุยเรื่องอาชญากรรมด้วยกัน และตระหนักว่าคนอื่นๆ ไม่ได้เลวนัก เราจะหารือกัน ทัศนะคติของทั้งกลุ่มก็จะดีขึ้น"
- "ยิ่งเราเข้ามาพูดคุยด้วยกันมากขึ้น เรายิ่งพบว่าเรามีอนาคต และชะตากรรมร่วมกัน"
- อีกความเห็นหนึ่ง คือ "เราต้องการการพูดคุยที่สอนให้เราเกิดการนับถือกันและกัน หรือเรากำลังหาหนทางในการจัดการกับความขัดแย้งด้วยกัน"
ผู้คนมักมาที่เวทีพูดคุยเพื่อหาแนวทางที่แตกต่างกัน ในการจัดการกับเรื่องราวและปัญหาต่างๆ ในชุมชน พวกเขาพูดว่า "เราห่วงใยเรื่องที่ชุมชนไม่ได้เห็นเป็นประเด็นร่วมกัน เหนื่อยหน่ายกับการที่เห็นประเด็นต่างๆ ถูกตั้งขึ้นอย่างแยกส่วน เราต้องการเห็นสุนทรียสนทนา (dialogue) ที่จะช่วยเราให้จัดการกับปัญหาได้ดีขึ้น เราต้องการเข้าใจ "พื้นที่สีเทา" ของการก่อรูปของปัญหา เราต้องการเปิดถนนสายใหม่สำหรับทำบางสิ่งบางอย่าง เราต้องการหนทางที่จะจินตนาการความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่คนจะกระทำได้ หรือเรากำลังมองหา จุดยืน ในการปฏิบัติการ"
ความสนใจในงานประชาสังคม ไม่ได้ทำให้หมดโอกาสที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับภาครัฐ เรามักพูดว่าเรากำลังมองหาวิธีที่ดีกว่าในการปกครอง หรือวิธีที่แตกต่างออกไปในการติดต่อกับเจ้าหน้าที่รัฐ คนเรามักพูดว่า พวกเขาใช้วิจารณญาณเพราะต้องการสร้างเสียงที่แท้จริงจากสาธารณะขึ้นในชุมชน และต้องการให้เจ้าหน้าที่ได้ยินเสียงเหล่านี้
ไม่ใช่คนทุกคนจะเห็นว่าการใช้วิจารณญาณมีประโยชน์ บางคนอาจพบความคับข้องใจหลังจากการเข้าเวทีพูดคุย เพราะความคาดหวังของเขาไม่เป็นที่ยอมรับ เมื่อเขาคิดว่าควรถูกยอมรับ อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่เชื่อว่าประโยชน์จะเกิดแบบสะสม และจะโน้มน้าวให้ผลการหารือกันของสาธารณะมีอิทธิพลในที่สุด และพวกเขาต้องการสิ่งที่ยั่งยืน ไม่เพียงการทำให้ดีขึ้น นั่นคือ เขาต้องการการเมืองที่แตกต่างออกไป
แก่นของความคิดเห็นที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือ การที่คนเราเห็นปัญหาที่คิดว่าต้องมีคนมากขึ้นเข้าไปร่วมกระทำ และเขาต้องการเข้าไปมีอิทธิพลมากขึ้นในการกระทำของสาธารณะต่างๆ เขาเห็นการใช้วิจารณญาณเป็นก้าวแรก ก่อนที่คนเราจะกระทำอะไรร่วมกันในนามของสาธารณะ พวกเขาต้องตัดสินใจว่า "ทำอย่างไร" ร่วมกันก่อน
4. อะไรคือ การใช้วิจารณญาณสาธารณะและมันต่างกันอย่างไร
เพื่อเพิ่มโอกาสให้เห็นว่าการตัดสินใจของเรานั้นรอบคอบ เราจึงไม่เพียงแค่ส่งเสียงพูดออกไป เพื่อโต้แย้งถึงทางแก้ปัญหา หรือทำความกระจ่างให้กับสิ่งที่เราเห็นเป็นคุณค่า เรายังต้องพิจารณาทางเลือกอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องพิจารณาถึงข้อดี - ข้อเสีย ของแต่ละทางเลือก นี่คือ การกล่าวถึง การใช้วิจารณญาณอย่างย่อๆ การใช้วิจารณญาณช่วยให้เรารู้ว่าการตัดสินใจของเรานั้นเหมาะสมหรือไม่ ช่วยให้เราตัดสินใจว่า เราจะเต็มใจรับเอาผลที่ตามมาของการกระทำที่เรากำลังจะเลือกหรือไม่
การอภิปรายทางการเมืองส่วนใหญ่ มักเป็นการโต้เถียงเรื่องราวที่เป็นข่าว ทำให้การเมืองกลายเป็นการต่อสู้แข่งขันที่ไม่มีวันจบ ผู้คนถูกกวาดไปเข้าข้างไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่ง พลังงานทั้งหมดถูกใช้ไปกับการเลือกว่าจะเข้าข้างหรือต่อต้าน "ใคร" หรือ "เรื่องใด" ดี
การใช้วิจารณญาณนั้นแตกต่างกัน มันไม่ใช่ทั้งการโต้แย้งที่สนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา โดยพยายามจะเอาชนะฝ่ายตรงข้าม หรือการสนทนาทั่วไปในวงสนทนาแสนสุภาพทั้งหลาย แต่การใช้วิจารณญาณสาธารณะหมายถึง การที่พลเมืองได้เลือกทางเลือกเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นคุณค่าพื้นฐาน และทิศทางสำหรับชุมชนและประเทศของเขา มันเป็นหนทางของการใช้เหตุและผล และการพิจารณาใคร่ครวญร่วมกัน
เวทีการใช้วิจารณญาณในประเด็นสาธารณะระดับชาติ เป็นการสนทนาที่มีโครงสร้าง ที่ก่อรูปขึ้นมาจาก 3-4 ทางเลือก สำหรับใช้พิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่มีแค่ 2 ทางเลือกที่เป็นคนละขั้วกัน การหารือโดยการสร้างกรอบของประเด็นทำนองนี้ ทำให้ลดการพูดคุยโดยทั่วไป ที่คนมักจะด่าว่ากันและกันด้วยการโต้เถียงแบบทั่วๆ ไป
4.1 การใช้วิจารณญาณ คือ การสนทนาเพื่อการหาทางเลือก ไม่ใช่การโต้เถียงเพื่อเอาชนะ
การใช้วิจารณญาณ คือ การหาน้ำหนักของผลที่จะเกิดตามมา และค่าใช้จ่ายของทางเลือกหลายๆ ทางบนพื้นฐานของสิ่งที่มีคุณค่าจริงๆ สำหรับเรา คิดถึงวิธีการที่คนใช้ชั่งน้ำหนักทองในสมัยก่อน ผลที่ตามมาแต่ละอย่างจะมีผลต่อตาชั่งมากน้อยแค่ไหน อะไร คือ ค่าใช้จ่ายในการทำสิ่งที่เราต้องการทำ การตอบคำถามเหล่านี้ ต้องการ "การสนทนา" ที่ทำให้เราได้ค้นคว้าและทดสอบความคิดว่าเราจะกระทำการในเรื่องนั้นๆ ได้อย่างไร
การใช้วิจารณญาณ จะเกี่ยวกับการชั่งน้ำหนักความคิดเห็นของคนอื่น การรับฟังอย่างระมัดระวัง จะเพิ่มโอกาสที่ผู้อื่นจะรับฟังทางเลือกของเรา เพราะคนจำนวนมากได้นำประสบการณ์และความรู้มารวมกัน. ไม่มีใครคนใดคนหนึ่ง หรือคนกลุ่มเล็กๆ ที่จะมีประสบการณ์และความรู้ที่ต้องการมาตัดสินใจว่า อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด. นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงจำเป็นต้องมีการรวมเอากลุ่มคน เพื่อรวบรวมเอามุมมองที่หลากหลายในการพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ขณะที่เรายังไม่รู้แน่นอนว่าเราตัดสินใจถูกหรือไม่ จนกว่าเราจะได้ทำตามที่ตัดสินใจนั้น การใช้วิจารณญาณบังคับให้เราต้องคาดการณ์ผลที่ตามมา และถามตัวเองว่าเรายินดีที่จะรับสถานการณ์ที่แย่ที่สุดหรือไม่ นั่นคือ การใช้วิจารณญาณทำให้เกิดการมองอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะกระโดดเข้าทำจริง
4.2 การใช้วิจารณญาณ คือการพิจารณาว่าอะไรมีค่าที่สุดสำหรับเรา ไม่เพียงแค่ "ข้อเท็จจริง" เท่านั้น
เราต้องใช้วิจารณญาณเพื่อตัดสินใจว่าเราจะกระทำอย่างไร เพื่อให้ได้รับสิ่งที่มีคุณค่าที่สุด เมื่อพบกับทางเลือกที่ยากลำบาก เราพยายามที่จะหาข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แน่นอนว่า "ข้อเท็จจริง" นั้น เป็นสิ่งสำคัญ แต่มันไม่พอที่จะบอกเราว่าเราควรจะทำอะไร เราใช้วิจารณญาณสำหรับคำถามเหล่านี้ เช่น "เราควรจะทำอย่างไร" เมื่อมันไม่มี "ข้อเท็จจริง" ที่แน่นอนที่จะตอบคำถามแก่เราได้ "ข้อเท็จจริง" นั้นจะบอกเราว่ามันคืออะไร และเราไม่จำเป็นต้องใช้วิจารณญาณถึงสิ่งที่เรารู้แล้ว เช่น เมื่อต้องตัดสินใจเลือกทางเลือกส่วนตัว ว่าเราจะแต่งงานดีหรือไม่ คงไม่มีใครไปเปิด Encyclopedia (สารานุกรม) คำว่า "M" (marry) ดู
ดังนั้นการใช้วิจารณญาณสาธารณะ นำเราไปสู่ "ข้อเท็จจริง" ซึ่งสำคัญตามที่มันเป็นอยู่ และมากไปกว่านั้น คือสิ่งที่ไม่มีหนังสือหรือผู้เชี่ยวชาญสามารถบอกเราได้ และนั่นคือสิ่งที่มีคุณค่าจริงๆ สำหรับชีวิตเรา
เราต้องไม่สับสนถึงทางเลือกที่เราเลือกว่า อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา เราถูกท้าทายให้คิดถึงทางเลือกที่เราชอบ เพราะประชาชนมักถูกปฏิบัติให้เป็น "ผู้บริโภคทางการเมือง" การเลือกผู้แทน หรือการออกเสียงเลือกตั้ง เห็นได้ชัดว่าเป็นเหมือนการเลือกยาสีฟัน หรือเลือกยี่ห้อซีเรียลสำหรับอาหารเช้า ที่ต้องถามถึงรสนิยมของเรา แต่ผลที่ตามมา (ถ้าเลือกผิด) ไม่ได้สำคัญนัก หากไม่ชอบเราสามารถเปลี่ยนยี่ห้อได้ตลอดเวลา ต่างจากการตัดสินใจเมื่อเราจะแต่งงานกับใครบางคน หรือการเลือกอาชีพ ซึ่งเราต้องค้นคว้าให้ลึกลงไป เพราะผลที่จะเกิดตามมานั้นใหญ่หลวง เราต้องคิดพิจารณาอย่างรอบคอบว่าอะไรจะเกิดขึ้น และจะยอมรับสิ่งนั้นได้หรือไม่ เราต้องมองเข้าไปข้างในตัวเรา เพื่อที่จะตัดสินใจว่าอะไรมีคุณค่าที่สุดสำหรับเรา เพราะการตัดสินใจนี้มีผลระยะยาวที่สำคัญที่จะเกิดตามมา
ในการตัดสินใจเกี่ยวกับประเด็นสาธารณะ ดูเหมือนว่าเราถูกจูงใจจากสิ่งต่างๆ มากมายที่มีความหมายต่อชีวิตเรา เช่น ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน หรือวิถีแห่งการประพฤติปฏิบัติที่เราชอบด้วย เช่น การมีเสรีภาพ และโอกาสในการตระหนักถึงเป้าหมายของเรา. มีคนไม่มากนักที่ไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยการพิจารณาแบบนี้
ในที่นี้ อาจยกตัวอย่างประเด็นเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความกังวลเบื้องต้น คือ "ความปลอดภัย" ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานกว่าเรื่องระบบของอาวุธ อย่างไรก็ตาม เราถูกโน้มน้าวโดยสิ่งต่างๆ ในเรื่องความปลอดภัย เราอาจให้คุณค่าของความปลอดภัยว่าหมายถึง ความแข็งแรงกว่าศัตรู และการอยู่ไกลจากสิ่งที่เป็นอันตราย และอาจให้คุณค่าว่าความปลอดภัยมาจากการทำดีกับผู้ที่อาจเป็นอันตรายต่อเรา
คนส่วนใหญ่ถูกจูงใจไม่มากก็น้อย ด้วยคุณค่า 3 ประการดังกล่าวมาแล้วเรื่องความปลอดภัย คนส่วนใหญ่รู้สึกปลอดภัยกว่าเมื่อแข็งแรงกว่าสิ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อเขา หรือเมื่ออันตรายนั้นอยู่ไกลจากเขา และพวกเราส่วนใหญ่จะอยากเป็นมิตรกับคนที่มีแนวโน้มจะคุกคามเรา. ในการใช้วิจารณญาณเรื่องความมั่นคงของชาติ เราต่างรู้ดีด้วยความเจ็บปวดว่า เราไม่สามารถใช้แนวทางการใช้วิจารณญาณเพื่อให้ได้นโยบายที่มีเหตุมีผลได้ แต่เราต้องตัดสินใจภายใต้แรงจูงใจที่ปะทะกัน
4.3 รากฐานของการใช้วิจารณญาณ คือ การวางกรอบประเด็นปัญหา ให้เป็น ภาษาที่ใช้ทั่วไป
สิ่งที่เป็นประเด็นขณะที่เรากังวลเรื่องคุณค่า คือ แรงเสียดทาน หรือข้อขัดแย้งต่อคุณค่านั้น ดังนั้น เราจึงยังไม่สามารถเริ่มใช้วิจารณญาณ จนกว่าเราจะวางกรอบของประเด็นปัญหา ในแนวทางที่เราเห็นว่ามีค่ายิ่ง นั่นคือ เรื่องที่เป็นความกังวลในชีวิตประจำวันของคนทั่วไป หรือ การวางกรอบปัญหาให้เป็นประเด็นสาธารณะ นี่คือเหตุผลว่าทำไมหนังสือของเวทีประเด็นสาธารณะระดับชาติ เริ่มต้นด้วยเรื่องที่สาธารณะกำลังสนใจ
โชคไม่ดี คนอเมริกันมักพบประเด็นปัญหาที่ถูกวางกรอบด้วย "ภาษาต่างประเทศ" ที่เป็นศัพท์เทคนิค หรือศัพท์แสงทางการเมือง ที่เข้าใจยากสำหรับสาธารณะ ช่องว่างที่กว้างนี้ ทำให้ประเด็นที่มีการนำเสนอกับประเด็นที่ผู้คนจะได้เรียนรู้แยกออกจากกัน นั่นทำให้คนส่วนใหญ่ไม่เห็นความเชื่อมโยงของประเด็นเหล่านั้น กับสิ่งที่พวกเขาเห็นว่ามีค่ามาก
ในที่นี้จะยกตัวอย่างกรณีของการหยุดยั้งการแพร่กระจายของยาเสพติด กล่าวคือ เมื่อคนส่วนใหญ่เห็นว่าปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาระดับครอบครัว มากกว่าที่จะเป็นปัญหาในแง่ของการใช้กฎหมาย หรือการป้องกันไม่ให้ยาเสพติดเข้าประเทศ มุมมองเช่นนี้ทำให้สถานบันครอบครัวและความรับผิดชอบส่วนบุคคล กลายมาเป็นกรอบในการมองและเข้าใจปัญหา รวมไปถึงการ "ตั้งชื่อ" ปัญหา ซึ่งจะไปมีผลกำหนดว่าใครควรจะเข้ามาเกี่ยวข้อง และแนวทางการแก้ไขจะเป็นอย่างไรด้วย
4.4 การจัดการกับความขัดแย้ง
การวางกรอบประเด็นปัญหาให้เป็นประเด็นสาธารณะ ได้กำหนดขั้นตอนการเผชิญหน้ากับแรงจูงใจที่ขัดแย้งกัน เมื่อเรามีหลายสิ่งที่เราเห็นเป็นคุณค่า และสิ่งเหล่านั้นจะดึงเราไปในทิศทางที่ต่างๆ กัน เมื่อเราต้องตัดสินใจว่าจะลงมือปฏิบัติอย่างไร การจัดการกับความขัดแย้ง หรือความตึงเครียดนี้ ทำให้เกิดความยากลำบากในการเลือกทางเลือก นี่คือเหตุผลว่าทำไมเวทีการใช้วิจารณญาณต้องย้ำกับผู้เข้าร่วมว่ามีสิ่งที่ต้องทำ (คือ การพิจารณาอย่างใคร่ครวญ) ในการหารือ
ตัวอย่าง เช่น เมื่อพูดถึงเรื่องสุขภาพ เราต้องการการดูแลรักษาที่ดีที่สุด ขณะเดียวกันเราก็ต้องการการดูแลรักษาที่ทุกคนสามารถจ่ายได้มากที่สุด แต่ยิ่งการดูแลที่ดีขึ้นเท่าไร ค่าใช้จ่ายก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น นั่นหมายถึง จะมีคนเข้าถึงระบบการดูแลสุขภาพได้น้อยลง นโยบายใดก็ตามที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพแบบก้าวหน้า ต่างเผชิญกับปัญหาชวนลำบากใจเช่นนี้เสมอ ไม่ว่าทางเลือกใดก็ตามที่มาจากประเด็นทำนองนี้ ต่างมีด้านบวกและด้านลบต่อสิ่งที่เราเห็นเป็นคุณค่าทั้งสิ้น
ความขัดแย้งที่เราต้องจัดการในการแสวงหาทางเลือก ไม่ใช่เพียงความขัดแย้งระหว่างปัจเจก หรือระหว่างผลประโยชน์ เหมือนการที่นักสิ่งแวดล้อมต่อต้านนักพัฒนา หรือพวกอนุรักษ์นิยมต่อต้านพวกเสรีนิยม คนที่มีความคิดแตกต่างกันเช่นนี้ ก็ยากที่จะไปเปลี่ยนความคิดให้คิดเหมือนกัน แต่เมื่อพูดถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์ เราส่วนใหญ่น่าจะความคิดคล้ายๆ กัน ลองคิดถึงเรื่องความปลอดภัย ที่ได้กล่าวมาแล้ว และแรงจูงใจพื้นฐานที่ปรากฏอยู่ในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีแรงจูงใจทางการเมืองร่วมกัน แต่เราก็ต่างใช้ หรือปฏิบัติการต่อสิ่งที่เราเห็นว่ามีคุณค่าต่างกัน ลองคิดดูว่าในคืนวันศุกร์ พ่อบ้านกลับจากที่ทำงานช้ากว่าปกติ และด้วยความเหน็ดเหนื่อย ภรรยาที่ทำงานหนักมาทั้งสัปดาห์อยากให้พาออกไปทานอาหารนอกบ้าน ลูกๆ ต้องการให้พาออกไปดูหนัง แม่ยายโทรศัพท์มาชวนให้ไปทานข้าวที่บ้าน และวางโทรศัพท์ได้ไม่นาน เจ้านายก็โทรมาบอกว่าอยากให้ไปที่ทำงานอีกซัก 2 ชั่วโมง ชีวิตแต่งงาน, ลูก, งาน และแม่ยายของเขา ต่างเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับเขาทั้งสิ้น แต่เขาก็ต้องตัดสินใจเลือกว่าควรจะทำอะไรสำหรับคืนนี้ เราไม่สามารถแก้ปัญหาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ด้วยการทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่เราชอบที่สุด ขณะเดียวกันเราก็ไม่สามารถทำทุกอย่างที่ทุกคนอยากให้ทำ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีอำนาจใดที่จะให้คำตอบที่ถูกต้องแก่เราได้ ขณะที่เราก็ไม่สามารถหนีจากภาวะลำบากใจดังกล่าว ในการที่ต้องพิจารณาถึงสิ่งที่จะตามมาได้ แต่อีกด้านหนึ่ง เราก็ต้องทำงานหนักเพื่อหาสิ่งที่เหมาะสมที่สุดให้ได้
นี่คือสิ่งที่คล้ายกันมากกับภาวะลำบากใจที่เราพบในเรื่องสาธารณะ เมื่อต้องเลือกทางเลือกเรื่องนโยบายในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราไม่มีทางหลีกเลี่ยงสิ่งที่เห็นขัดแย้งกัน ไม่มีทางหลีกเลี่ยงอุปสรรคในสิ่งที่เราสามารถทำได้ ไม่มีการหลีกเลี่ยงความรู้สึกที่จะเกิดจากภาวะลำบากใจเหล่านั้น ขณะที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งเหล่านี้ได้ การปรึกษาหารือ การใช้วิจารณญาณ ช่วยให้เราตระหนักว่าความตึงเครียด หรือความขัดแย้งระหว่างหรือภายในตัวเรานั้นมีไม่มาก ซึ่งจะช่วยให้เราฝ่าด่านช่วงของอารมณ์ที่รุนแรงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ ได้
4.5 ข้อจำกัดของการฝ่าด่านความขัดแย้ง คือ การรวมเอาเหตุผลและอารมณ์
การฝ่าด่าน (work through) คือ การอธิบายกระบวนการทำงานเพื่อการตัดสินใจ ที่เราต้องก้าวผ่านอารมณ์ความรู้สึกของการตอบสนองขั้นต้น เพื่อไปถึงจุดที่เราควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้ พอที่จะตัดสินใจเลือกทางเลือกได้อย่างเหมาะสมเพื่ออนาคตของเรา เมื่อเราต้องเผชิญกับเรื่องค่าใช้จ่ายและผลที่จะเกิดตามมาของทางเลือกทางใดทางหนึ่ง เรามักจะตอบสนองด้วยอาการช็อคเหมือนกับความรู้สึกสูญเสียที่เกิดยามที่เราตกอยู่ในภาวะวิกฤตของตัวเอง
มีตัวอย่างเรื่องชายวัย 50 เศษคนหนึ่ง ที่เพิ่งพบว่าเขาจะไม่ได้เงินบำนาญเมื่อเกษียณอายุ ตอนแรกเขาโกรธ, ไม่เชื่อ, สงสัย และสุดท้ายซึมเศร้า เมื่อเวลาผ่านไป เขาเริ่มสงบใจลงโดยการฝ่าด่าน (work through) วิกฤตนี้ เขาอาจพบแหล่งรายได้อื่นๆ หรือการแลกเปลี่ยนกับบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้เขาอยู่ได้ดีที่สุด ในที่สุดเมื่อเขาได้จัดการความคิดเขาใหม่ และหลุดพ้นจากพายุอารมณ์ ทำให้เห็นหนทางที่เป็นไปได้สำหรับเขาที่จะกระทำเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของตัวเอง
ในการใช้วิจารณญาณสาธารณะ เราคนจะต้องทำงานผ่าน หรือฝ่าด่าน การเปรียบเทียบผลที่จะตามมา ที่เกิดจากการตัดสินใจในทุกนโยบาย การทำงานนี้ต้องการปรึกษาหารืออย่างใคร่ครวญ ไม่ใช่เพียงการพูดถึงเรื่องนั้นๆ เท่านั้น
5. อะไรคือผลผลิตของการใช้วิจารณญาณ
5.1 การเปลี่ยนแปลงของคน
ผลที่เกิดเบื้องต้นสุดคือ การเปลี่ยนแปลงในระดับบุคคล คนเหล่านั้นบอกว่า พวกเขาพบว่าจัดการกับประเด็นปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้นคือ เขาสามารถพิจารณาเรื่องนั้นๆ ในบริบทที่กว้างขึ้น และเห็นความเชื่อมโยงกับเรื่องอื่นๆ ได้ ทั้งหมดนี้ ช่วยให้เขาเข้าใจความหมายที่แท้จริงของประเด็นดังกล่าว ทำให้เราสามารถพิจารณาคำถามเกี่ยวกับนโยบายได้โดยยืนอยู่บนความจริงมากขึ้น ขอบเขตของผลประโยชน์ส่วนตัวมีแนวโน้มที่จะกว้างขึ้น ประสบการณ์ในการสนทนาอย่างการใช้ปรึกษาและวิจารณญาณกับคนอื่นๆ ทำให้เกิดความมั่นใจขึ้น เขารู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของความคิดเห็นนั้น และสามารถแสดงออกมาได้
จากการศึกษาขององค์กร Public Agenda พบว่า 53% ของผู้เข้าร่วมเวที เปลี่ยนใจจากความคิดในตอนแรกหลังจากเข้าร่วมเวที และ 71% แม้จะไม่เปลี่ยนความคิดเห็นก็ตาม แต่เกิดการคิดทบทวนเกี่ยวกับความคิดเห็นของตน อีก 78% พบว่าพวกเขาได้เผชิญกับความคิดเห็นที่แตกต่างจากของตน และพบว่าความคิดเห็นเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ดี
เวทีพูดคุยเพียงครั้งเดียวจะไม่เปลี่ยนความเชื่อที่ฝังรากลึก เช่นเดียวกับการไปยิมเนเซียมเพียงครั้งเดียว จะไม่ทำให้เราเชื่อถึงประโยชน์ของการออกกำลังกาย แต่คนที่ได้เข้าร่วมหลายๆ เวทีที่มีการพูดคุยแบบใช้วิจารณญาณนี้ เริ่มสนใจอ่านและฟังข่าวมากขึ้นในมุมมองที่ต่างออกไป โดยมีการมองถึงทางเลือกและผลที่ตามมา รวมทั้งมีการเข้าร่วมกิจกรรมสาธารณะมากขึ้น บางทีการเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของเราต่อความคิดเห็นของคนอื่น อาจทำให้มองเห็นความเป็นไปได้อื่นๆ มากขึ้นในการที่จะทำงานร่วมกัน คนเข้าร่วมเวทีพูดคุยแบบใช้วิจารณญาณ เห็นตัวเองเป็นผู้ลงมือกระทำ มากกว่าเป็นเพียงแค่คนคอยดูเท่านั้น
การศึกษาผลที่ได้จากเวทีประเด็นสาธารณะระดับชาติ รายงานว่า คนเราเรียนรู้ว่าเขาสามารถเข้าใจสถานการณ์ที่ซับซ้อนได้ และสามารถพูดอะไรที่มีเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องนั้นได้ รวมทั้งแสวงหาการตัดสินใจที่มีความสมเหตุสมผลว่าจะต้องทำอะไรได้ และเมื่อคนมีการคิดอย่างใช้วิจารณญาณ เขาจะพบว่าไม่มีการเสียหน้า หรือมีใครที่จะต้องถูกตำหนิ นั่นคือ "ปัญหา" เกิดนอกอาณาบริเวณของความขัดแย้ง เช่น พลเมืองที่คิดอย่างใช้วิจารณญาณ จะมองเห็นว่าความต้องการที่จะให้รัฐต้องจ่ายเพิ่มเติม โดยไม่เพิ่มการเก็บภาษี มีแนวโน้มที่จะเพิ่มการขาดดุลงบประมาณ เวทีการพูดคุยแบบใช้วิจารณญาณนี้ กระตุ้นให้คนคิดว่าเขาต้องรับผิดชอบต่อส่วนสำคัญของปัญหาของเขาเอง เมื่อเขาสามารถสร้างปัญหาได้ เขาก็ต้องสามารถริเริ่มที่จะจัดการกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5.2 การเข้าร่วมกับสาธารณะ และความเป็นสาธารณะ
การใช้วิจารณญาณทำให้คนเริ่มก้าวแรกในการเข้าร่วมกับประเด็นสาธารณะ และยังเชื่อมคนเข้าด้วยกัน รวมทั้งสร้างพื้นที่สาธารณะ ที่ทำให้คนเข้ามาร่วมกันจัดการกับปัญหาร่วมของตน นักวิจัยจาก Harwood group ได้ถามผู้คนว่าอะไรคือมูลเหตุที่พวกเขาตัดสินใจเข้าร่วมหารือในประเด็นสาธารณะ คำตอบคือ พวกเขามองหาการพูดคุยที่เปิดกว้างและใช้วิจารณญาณ เขาต้องการที่จะพิจารณาทางเลือก และมุมมองของคนอื่นๆ ด้วยความระมัดระวัง พวกเขาต้องการทดสอบความคิด ไม่เพียงการลงคะแนน พวกเขาต้องการจะพิจารณาด้านที่เป็นสีเทาของประเด็น ที่ปกติมักจะถูกนำเสนอด้วยสีดำและขาวเท่านั้น เขาคาดหวังที่จะให้อารมณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทางการเมืองได้แสดงออกมา แต่ไม่ใช่การแสดงอารมณ์โกรธเกลียด ซึ่งก่อให้เกิดการโต้เถียงแบบสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างขาดเหตุผล คำตอบเหล่านี้ แม้พวกเขาจะไม่ได้กล่าวคำว่า การใช้วิจารณญาณตรงๆ ออกมา แต่เขาก็กำลังมองหามันอยู่
ชาวอเมริกันใช้การสนทนาแบบใช้วิจารณญาณ ไม่เพียงเพื่อเข้าใจประเด็นปัญหา แต่เพื่อการตัดสินใจว่าเขาจะต้องกระทำอย่างเป็นสาธารณะหรือไม่ สถานการณ์ที่อาจกระตุ้นปัจเจกให้มีการกระทำทางการเมือง เช่น การพบเครื่องไม้เครื่องมือหรืออุปกรณ์เกี่ยวกับการผลิตยาเสพติดในละแวกบ้าน, ความกังวลว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับลูกที่โรงเรียน, การเห็นคราบน้ำมันที่ชายหาด, คนที่มีประสบการณ์แบบนี้ ต้องหาคนอื่นที่มีความห่วงใยร่วมกันที่เห็นว่าปัญหานี้กระทบคุณค่าของเขาด้วย เขาต้องหาว่าเขาจะมีคนมาช่วยคิดและทำเกี่ยวกับปัญหานี้เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เขาจึงจะเข้าร่วมเวทีใช้วิจารณญาณ
ขณะที่การใช้วิจารณญาณ ถูกนำเสนอให้เหมือนกับว่าเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในเวทีเท่านั้น ความจริง การใช้วิจารณญาณมีรากฐานมาจากการสนทนาทั่วๆ ไป อาจเกิดขึ้นกับเพื่อนบ้านที่มีรั้วหลังบ้านที่ใช้ร่วมกัน คนเราอาจเริ่มจากเรื่องส่วนตัว เพื่อดูว่ามันเกี่ยวกับคนอื่นๆ หรือไม่ การสนทนาอาจเปลี่ยนไปเป็นการประชุมของละแวกบ้าน หรือการประชุมในระดับเมือง อาจเป็นการพูดคุยเป็นเดือนๆ หรือเป็นปีๆ แต่ท้ายที่สุด คนจะไปถึงการตัดสินใจว่าจะต้องทำอะไรหรือไม่ และถ้าทำ จะต้องทำอย่างไร. ในกระบวนการพูดคุย คนที่เป็นปัจเจกที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกันจะกลายเป็นสาธารณะ ปัจเจกที่มีปัญหาต่างๆ ร่วมกัน และมารวมตัวในการหาหนทางที่จะทำงานด้วยกัน เพื่อจัดการกับปัญหาเหล่านั้น
5.3 ความรับผิดชอบต่อสาธารณะ
การตัดสินใจร่วมกันในการใช้วิจารณญาณ เป็นการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสาธารณะ คนเรามักรับผิดชอบกับสิ่งที่ตนได้เข้าร่วมในการเลือกมากกว่าในสิ่งที่คนอื่นเลือกให้ การตัดสินใจในฐานะสาธารณะหรือส่วนรวม เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่ออนาคตของตัวเอง
5.4 ความรู้ใหม่
การใช้วิจารณญาณทำให้คนทำในสิ่งที่ไม่สามารถทำได้โดยปัจเจก แต่ต้องทำในฐานะสาธารณะเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความสามารถในการผลิต "ความรู้" ที่นักวิชาการเรียกว่าเป็นความรู้ที่สังคมเป็นผู้สร้างขึ้นมา (socially constructed knowledge) ซึ่งไม่สามารถหาได้จากผู้เชี่ยวชาญใดๆ ความรู้นี้ประกอบด้วยสิ่งที่เราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเราต้องเข้าร่วมกับผู้อื่น จะไม่เกิดขึ้นตามลำพัง อาจเรียกว่า "ความรู้ที่เป็นสาธารณะ" ซึ่งจะบอกเราว่า
- สาธารณะพิจารณาประเด็น หรือกรอบของประเด็นที่แต่ละคนใช้ในการมองปัญหานี้ว่าอย่างไร
- อะไรคือสิ่งที่คนเหล่านั้นเห็นเป็นคุณค่า และอะไรคือความตึงเครียด หรือความขัดแย้งที่สำคัญของประเด็นเหล่านั้น
- อะไรคือสิ่งที่คนเต็มใจหรือไม่เต็มใจทำเพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้น อะไรคือค่าใช้จ่าย และผลที่ตามมาที่รับได้และที่รับไม่ได้
- มีอะไรที่เป็นความรู้สึก หรือทิศทางร่วมของชุดการกระทำนั้นๆ บนพื้นฐานของวัตถุประสงค์ร่วมกันดังกล่าว (ถ้ามี สิ่งนั้นคือ "ข้อตกลงร่วม" ที่จะกระทำโดยที่สาธารณะจะให้การสนับสนุน)
การใช้วิจารณญาณผลิตความรู้ที่เป็นสาธารณะ โดยการสังเคราะห์ประสบการณ์ และมุมมองที่แตกต่างกัน ให้เป็นกรอบของความหมายร่วมกัน
ลองจินตนาการดูว่าคุณและเพื่อนๆ ยืนอยู่รอบตึกแห่งหนึ่ง พยายามที่จะประเมินสภาพของตึก เพื่อตัดสินใจว่าควรจะซ่อมแซมตึก หรือทำลายมันเสีย คุณอาจให้เพื่อนแต่ละคนไปตรวจสอบตึกแต่ละด้าน แล้วกลับมาให้ความเห็นว่าควรทำอย่างไรกับตึกหลังนั้น แต่ละคนก็จะรายงานตามที่ได้เห็นจากด้านใดด้านหนึ่งของตึก คนหนึ่งอาจเห็นว่าทางเข้าได้รับการซ่อมแซมดีแล้ว อีกคนอาจเห็นผนังด้านหลังที่ผุพัง แม้ทั้งกลุ่มจะสามารถออกเสียงได้ว่าควรทำอะไรกับตึกนั้นดี แต่ก็เป็นเพียงการเปิดเผยสิ่งที่ได้เห็นโดยคนกลุ่มใหญ่เท่านั้น. แต่อีกทางหนึ่ง คนในกลุ่มอาจแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสะท้อนสิ่งที่ได้เห็น แล้วผนวกเข้ากับของคนอื่นๆ รวมมุมมองต่างๆ เข้าด้วยกัน ทำให้เกิดเป็นสิ่งใหม่ นั่นคือ ภาพรวมของทั้งอาคาร ซึ่งแตกต่างกับที่ต่างคนต่างเห็นมาเพียงด้านเดียว ทำให้ทั้งกลุ่มได้เห็นภาพรวมทั้งหมดร่วมกันอีกครั้ง
การใช้วิจารณญาณนั้นเป็นมากกว่าการอดทน หรือยอมรับได้ต่อความแตกต่าง แต่เป็นการใช้ประโยชน์จากความแตกต่าง โดยที่ไม่ได้ทำลายความแตกต่างของปัจเจก ในการที่ต้องมาหลอมรวมกัน เป็นการสร้างภาพใหม่ของสิ่งทั้งหมดบนมุมมองที่ผสานเข้าด้วยกัน
5.5 เปลี่ยนความคิดเห็น (opinion) มาเป็นการตัดสิน (judgment)
ความรู้ที่เป็นสาธารณะ และการได้มาของมัน มีวัตถุประสงค์ที่ทำได้จริงมาก มันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับปัจเจกและสาธารณะ บ่อยครั้งที่สามารถเปลี่ยนความคิดเห็นที่เป็นส่วนตัว มาเป็นความคิดเห็นร่วมของสาธารณะได้
สำหรับในระดับประเทศแล้ว การเปลี่ยนความคิดเห็นมาเป็นการตัดสินนั้น เป็นไปได้ช้าและต้องมีขั้นตอน. ในยุคแรกๆ ของการอภิปรายกันทางการเมือง การก่อรูปของความคิดเห็นเป็นไปได้ไม่ดีและไม่แน่นอน ทำให้เมื่อคนเริ่มรับรู้เกี่ยวกับประเด็นนั้นๆ พวกเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองตามความรู้สึกแรกที่เกิด ซึ่งเป็นไปอย่างไม่ค่อยมีข้อมูล ความคิดเห็นนี้จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาวันต่อวัน ทั้งนี้เพียงแค่การรับรู้ต่อเรื่องนั้น ยังถือว่าห่างไกลจากความแน่นอนและไม่อยู่กับร่องกับรอยของการตัดสินใจของสาธารณะ เพราะยังมีอุปสรรคมากมาย เช่น การตำหนิคนอื่น และหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากๆ
การที่คนเราต้องค้นคว้าทางเลือกที่หลากหลาย หรือต้องเอาชนะธรรมชาติของการต่อต้าน ที่ต้องเผชิญกับสิ่งที่ต้องแลกมาด้วยราคาแพง ทำให้พวกเขาต้องพิจารณาอย่างจริงจังทั้งด้านบวกและลบของทางเลือกเหล่านั้น และในที่สุด เขาต้องเลือกจุดยืนที่ทั้งฉลาดและสอดคล้องกับอารมณ์ความรู้สึกของคนอื่นๆ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาที่ยาวนาน
ขณะที่การแยกระหว่างความคิดเห็นและการตัดสิน มักไม่ค่อยได้ทำ แต่ความแตกต่างระหว่าง 2 สิ่งนี้ เป็นเรื่องสำคัญ เวทีที่บอกกล่าวความคิดเห็นของผู้คนต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่เหมือนกับเวทีพูดคุยแบบใช้วิจารณญาณ ที่มีเป้าประสงค์เพื่อพัฒนาความสามารถในการตัดสินใจของสาธารณะ (public judgment) ขึ้นในหมู่ผู้คน
การใช้วิจารณญาณสามารถกลั่นการตัดสินใจ จากการเป็นเพียงความคิดเห็น ปัญหาเกี่ยวกับความคิดเห็นของสาธารณะคือ บ่อยครั้งที่มักจะขัดแย้งกันเอง และผู้เสนอความคิดไม่ต้องรับผิดชอบต่อผลที่จะตามมา เช่น ความคิดเห็นของสาธารณะที่ว่ารัฐบาลควรให้การบริการสาธารณะให้มากขึ้น แต่ความคิดเห็นเดียวกันนี้ยืนยันเช่นกันว่า ไม่ควรขึ้นภาษี ความขัดแย้งในเรื่องนี้เห็นได้ชัดเจน และต้องมีการจัดการก่อนที่ใครจะเห็นเป็นเรื่องจริงจัง
กรณีนี้สะท้อนความคิดเห็นของสาธารณะที่มองประโยชน์ระยะใกล้ อย่างเช่น การลดภาษี อาจหมายถึงรายได้ส่วนบุคคลที่มากขึ้น แต่ผลต่อโรงเรียน, สวัสดิการสังคม, และทางหลวง ซึ่งเป็นบริการสาธารณะจะแย่ลง เพราะขาดเงินไปปรับปรุง เรายินดีที่จะรับผลที่จะเกิดขึ้นจากการได้ลดภาษีหรือไม่ ไม่มีใครรู้ว่าการตัดสินใจของสาธารณะจะเป็นอย่างไร จนกว่าเขาจะเผชิญกับด้านตรงข้าม และผลระยะยาวของมัน นี่คือ หน้าที่ของการใช้วิจารณญาณ
ในระยะยาว การใช้วิจารณญาณสาธารณะดูเหมือนจะได้ทำในสิ่งที่ควรทำ ทั้งนี้ขึ้นกับการวิเคราะห์การตอบสนองของสาธารณะ ต่อคำถามนับพันที่มีต่อนโยบายต่างๆ ในช่วง 50 ปีนี้ มีนักวิจัยด้านความคิดเห็นของสาธารณะ 2 คน คือ Benjamin Page และ Robert Shapiro พบสิ่งที่ตรงข้ามกันกับการรับรู้ที่ว่า "พลเมืองนั้นไม่มีเหตุผล, ไม่อยู่กับร่องกับรอย และเปลี่ยนใจบ่อย" คือพบว่า ทัศนคติของสาธารณะที่ก่อรูปมานานนั้น มีความมั่นคง, มีเหตุผล และเสถียร เขาพบว่าทัศนคติของสาธารณะนั้น ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริงในภาวะแวดล้อม ทัศนคติสาธารณะที่มีเหตุผลนี้ ได้จากการที่ผู้คนมีเหตุผลที่ชัดเจนสำหรับมัน และมุมมองของสาธารณะนั้นคงเส้นคงวาในนโยบายที่พวกเขาเห็นด้วย ซึ่งสัมพันธ์กับสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นคุณค่า
6. เราทำอะไรได้บ้างจากผลผลิตของการใช้วิจารณญาณ
แม้คนอเมริกันจะถูกโน้มน้าวว่าการใช้วิจารณญาณสาธารณะผลิตบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา แต่พวกเขายังต้องการรู้ว่าจะทำอะไรได้กับสิ่งที่ผลิตขึ้นมานั้น หลายคนถามว่าการพูดคุยของสาธารณะแบบนี้ มีบทบาทอะไรบ้างในการกำหนดนโยบายของชาติ คนอื่นๆ สนใจว่าการใช้วิจารณญาณสาธารณะ อาจมีผลต่อกิจกรรมของชุมชนได้
กล่าวโดยสรุปแล้ว ผลผลิตของการใช้วิจารณญาณสาธารณะ ใช้ได้ 2 ประการ คือ
(1) เพื่อให้เกิดการกระทำที่ทำโดยสาธารณะ (public action) และ
(2) เพื่อทำให้เกิดอิทธิพลต่อนโยบายของรัฐบาล
ในกระบวนการของการใช้วิจารณญาณสาธารณะ ยังช่วยเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ที่มักไม่ค่อยดีนักระหว่าง "สาธารณะ" กับ "เจ้าหน้าที่รัฐ" ให้ดีขึ้นได้ด้วย
6.1 การกระทำที่ทำโดยสาธารณะ
ประชาธิปไตยขึ้นกับการกระทำที่ทำโดยสาธารณะ ซึ่งต่างจากการกระทำของกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง การกระทำที่ทำโดยสาธารณะนี้จะสอดประสานกันมากกว่าที่จะชี้ขาดว่าต้องเอาสิ่งใด แล้วไม่เอาอีกสิ่งหนึ่ง ทั้งยังไม่เหมือนกับการกระทำของรัฐบาลหรือสถาบันต่างๆ ซึ่งมักจะมีแบบแผนตายตัวและเป็นเส้นตรง มีการประสานงานโดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง และความสัมพันธ์มักเป็นไปในแนวดิ่ง จากเจ้าหน้าที่ลงไปสู่ประชาชน และจากประชาชนขึ้นสู่เจ้าหน้าที่
แต่การกระทำที่ทำโดยสาธารณะจะเต็มไปด้วยความหลากหลายของผู้คน ที่ต่างมาทำหน้าที่ของตน ความสัมพันธ์จึงมักเป็นไปในแนวราบมากกว่าแนวดิ่ง เป็นการกระทำที่เคียงบ่าเคียงไหล่กันของประชาชนกับประชาชน การกระทำที่ทำโดยสาธารณะมักมีการประสานงานที่ไม่ต้องจัดการ แต่ก็ทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นได้ เพราะการกระทำทั้งหมดตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ที่สัมพันธ์กัน
การกระทำที่ทำโดยสาธารณะจะไม่เป็นเส้นตรง ที่เริ่มต้นจากจุดหนึ่ง แล้วไปสิ้นสุดที่อีกจุดหนึ่ง ตัวอย่างของชุดกิจกรรมเหล่านี้ จึงมักเป็นภาพของประชาชนทำงานด้วยกันเพื่อปรับปรุงสวนสาธารณะ โดยการที่ทุกคนเข้าร่วมกันทำความสะอาดและปลูกต้นไม้ การกระทำที่ทำโดยสาธารณะมีพลังมาก เพราะแต่ละคนต่างเติมเต็มซึ่งกันและกัน ทำให้พลังรวมทั้งหมดยิ่งใหญ่กว่าการรวมกันแบบธรรมดาๆ ของพลังแต่ละส่วน
หากปราศจากการกระทำของสาธารณะแล้ว การกระทำจากหน่วยงาน หรือสถาบันอย่างเดียวมักไม่ได้ผล ลองคิดดูว่าการดูแลกันเองในละแวกบ้าน ช่วยการทำงานของตำรวจได้อย่างไร และลองคิดดูถึงผ้าชิ้นดีๆ เช่น แขนเสื้อแจ็กเก็ตของคุณ ซึ่งเกิดจากการถักทอกันของทั้งเส้นด้ายในแนวตั้งและแนวนอนนั้น สอดประสานกันเป็นชิ้นผ้าได้อย่างไร หากไม่เช่นนั้นแล้วข้อศอกของคุณคงโผล่ออกมาทุกครั้งที่คุณงอแขนเป็นแน่
อะไรทำให้เกิดหรือเติมเต็มการกระทำที่ทำโดยสาธารณะ คำตอบคือ การใช้วิจารณญาณสาธารณะ แม้ว่าการใช้วิจารณญาณสาธารณะ อาจไม่ได้จบลงด้วยข้อตกลงที่เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งหมด แต่มันสามารถชี้ทางที่เฉพาะเจาะจง และให้พื้นฐานในการระบุวัตถุประสงค์ร่วมกันได้ ซึ่งวัตถุประสงค์ร่วมกันนี้ ให้โอกาสแก่การกระทำที่หลากหลาย ที่ไปด้วยกันหรือส่งเสริมกันและกัน เพราะต่างมีวัตถุประสงค์เดียวกัน หากปราศจากวัตถุประสงค์และทิศทางร่วมกันแล้ว คงไม่มีการควบคุมใดๆ สามารถรักษากิจกรรมต่างๆ ให้มุ่งไปสู่จุดหมายเดียวกันได้
ลองคิดดูถึงการจัดงานเลี้ยงกลางคืนแบบให้ต่างคนต่างนำอาหารมาเอง อะไรที่ทำให้อาหารทุกอย่างที่แต่ละคนนำมาไม่มีเพียงของหวาน นั่นคือ การที่คนเหล่านั้นหารือกันก่อนว่าใครจะนำอาหารชนิดใดมา แล้วจึงแบ่งกันทำอาหารแต่ละอย่าง ไม่มีใครต้องมาควบคุมการจัดเลี้ยงแบบนี้ ไม่มีการเซ็นต์สัญญาในการทำงานร่วมกัน แต่การเลี้ยงอาหารแบบนี้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เพราะคนเหล่านั้นรู้ว่าคนอื่นจะทำอะไรมา และไม่ต้องบอกว่าตนจะต้องเอาอะไรมา
6.2 แสวงหาหนทางที่จะทำงานร่วมกัน แม้เราจะไม่เห็นด้วยทั้งหมดก็ตาม
ความรู้สึกถึงการมีทิศทางร่วมและเป้าประสงค์ที่ต้องพึ่งพิงกันดังอธิบายไปในข้างต้นนั้น เป็นพื้นฐานร่วมสำหรับการกระทำการร่วมกัน (common ground for action) ซึ่งมีความสำคัญในการแยกแยะระหว่างการมีความเห็นร่วมกัน กับการประนีประนอม ในความเห็นส่วนที่แตกต่าง
แรกสุดพื้นฐานร่วมสำหรับการกระทำการร่วมกันนี้ ไม่เหมือนกับการมีอะไรเหมือนๆ กัน อย่างเช่น ความรักที่มีต่อแมว และไม่เหมือนกับการประนีประนอม ที่คนๆ หนึ่งต้องการสิ่งหนึ่ง แต่ยอมรอมชอมความแตกต่าง โดยการพบกันครึ่งทาง และไม่ใช่การยินยอมหรือการมีข้อตกลง ที่ทุกคนต้องการสิ่งเดียวกัน. ในขณะที่ การมีความเห็นที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแม้จะเป็นสิ่งที่วิเศษสุด แต่บ่อยครั้งที่ชุมชน มักต้องแก้ปัญหาร่วมกับผู้คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถหาข้อตกลงใดๆ ร่วมกันได้เลย แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความก้าวหน้าเกิดขึ้น
การใช้วิจารณญาณ ช่วยเราในการค้นหาว่าอะไรที่อยู่ระหว่างสิ่งที่ตกลงกันได้ และสิ่งที่ไม่สามารถตกลงกันได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เราส่วนใหญ่เผชิญอยู่ตลอดเวลา น้อยครั้งมากที่เราจะเห็นพ้องต้องกันไปหมดทุกอย่าง แม้กับคนที่ใกล้ชิดที่สุด แต่เราก็ไม่ได้ขัดแย้งไปหมดเช่นกัน เราอยู่ระหว่างกลาง และนี่คือการที่การใช้วิจารณญาณช่วยให้เราระบุว่าเราจะสามารถอยู่ร่วมกับอะไรได้บ้าง
6.3 สร้างอิทธิพลต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ถึงความเป็นไปได้ทางการเมือง
มีคำถามหนึ่งที่หลายคนชอบถาม คือ เจ้าหน้าที่รัฐสนใจเรื่องการใช้วิจารณญาณสาธารณะหรือไม่ แน่นอนว่า การใช้วิจารณญาณให้ความรู้ที่เป็นสาธารณะ ซึ่งเป็นที่ต้องการของเจ้าหน้าที่ และไม่สามารถหาได้จากแหล่งอื่นๆ ทั้งนี้มีงานวิจัยที่แสดงว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้ต้องการความช่วยเหลือแบบนี้จากสาธารณะ แต่โชคไม่ดีที่ว่าเรามักไม่เชื่อเช่นนี้ ความเข้าใจผิดของทั้งสองฝ่ายเติบโตจากความแตกต่าง ของการที่คนในและคนนอกหน่วยงานรัฐเห็นบทบาทตัวเอง และการขาดโอกาสที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์นี้
เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่เชื่อว่าพวกเขารับภาระความรับผิดชอบในการพัฒนา และลงมือปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา พวกเขาเห็นตัวเองมีบทบาทเป็นผู้ปกครอง. ผลประโยชน์ของสาธารณะที่แท้จริง การมีความรับผิดชอบ หมายความถึงการจัดการสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนรับเอาแนวทางแก้ปัญหาที่เจ้าหน้าที่เตรียมมาให้ และมีการสร้างฐานสนับสนุนแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าวโดยการทำงานผ่านสื่อ เพื่อให้มั่นใจว่าการช่วยเหลือทำได้อย่างครอบคลุม ไม่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ตลอดกระบวนการของการให้ความช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่พยายามที่จะปรับทัศนคติของสาธารณะ และปริมาณของสาธารณะที่เข้าร่วม นั่นคือสิ่งที่เจ้าหน้าที่คิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องในการทำงานกับสาธารณะ แต่นี่ไม่ใช่บทบาทที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าควรเป็น ประชาชนมีความรู้สึกว่าไม่ต้องการ "ถูกจัดการ" มากขึ้น หรือไม่ต้องการถูกปฏิบัติเหมือนเป็นลูกค้า หรือได้แนวทางการแก้ปัญหาแบบสำเร็จรูปที่คนอื่นคิดให้
น่าขันเมื่อมองจากมุมของประชาชน ยิ่งเจ้าหน้าที่ทำตัวเป็นผู้ปกครองมากเท่าไร ประชาชนก็จะยิ่งต่อต้านมากเท่านั้น ผู้ปกครองอาจไม่ต้องการให้ประชาชนทำอะไรมากไปกว่าการมาออกเสียงเลือกตั้ง แต่ประชาชนกลับเห็นว่าไม่เพียงพอที่จะมีส่วนร่วมทางการเมืองเพียงเท่านั้น และในสถานการณ์หนึ่ง เมื่อหน้าที่ของผู้ปกครองไม่สอดคล้องกับปัญหาที่เจ้าหน้าที่เหล่านั้นต้องเผชิญอยู่จริง พวกเขามักเจอกับปัญหาที่ธรรมชาติของปัญหาไม่ชัดเจน ทั้งยังไม่มีการระบุเป้าหมายและคุณค่าของสาธารณะ รวมทั้งมีความขัดแย้งในประเด็นปัญหานั้นๆ ด้วย นี่คือเวลาที่พวกเขาต้องการสาธารณะ แต่เจ้าหน้าที่มักอยู่ในภาวะคับข้องใจเมื่อเกิดสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยน ในสถานการณ์ที่สาธารณะไม่มีข้อสรุปว่าพวกเขาจะเลือกทางเลือกใด และบางครั้งทำอะไรไม่ได้ ในภาวะที่มีการแช่แข็งทางการเมือง เพราะความไม่ลงตัวของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ซึ่งทำให้กลไกการทำงานของรัฐบาลติดขัด
ในสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าหน้าที่ต้องการประชาชน ไม่เพียงแค่การมาลงคะแนนเลือกตั้งให้ แต่ในฐานะประชาชนที่เข้าร่วมหารือในการระบุว่า อะไรคือผลประโยชน์ของสาธารณะส่วนใหญ่
ขณะที่ประชาชนหมดหวังที่จะโน้มน้าวเจ้าหน้าที่รัฐ จากประจักษ์พยานที่เห็นผลในระยะยาว กลับพบว่าการตัดสินของสาธารณะได้ทำหน้าที่ตรงนี้ ความจริงทำถึงกับการก่อร่างนโยบายหลักๆ ของรัฐบาลเลยทีเดียว. มีคนถามว่า การใช้วิจารณญาณสาธารณะมีอิทธิพลต่อการที่นักการเมืองและรัฐบาล จะรับเอาประเด็นเหล่านั้นหรือไม่ เพราะพวกนักการเมืองล้วนต้องการคำตอบที่ไม่มีคุณภาพว่า "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" เท่านั้น คำตอบทำนองนี้ ทำให้เกิดการหลงทางที่ว่าการใช้วิจารณญาณมีอิทธิพลต่อนโยบาย แต่จะต้องค่อยเป็นค่อยไป และใช้เวลาสะสมมาพอสมควร
ความจริง คือ แม้ว่าการใช้วิจารณญาณสาธารณะจะสามารถมีผลต่อการกำหนดนโยบาย แต่จะไม่สามารถทำได้ชั่วข้ามคืน และด้วยเหตุผลที่ดี. ประเด็นทางการเมืองส่วนใหญ่ แม้เป็นเพียงปัญหาของ 1 หมู่บ้าน ต้องการเวลาในการทำความเข้าใจ ในการวางแผน และลงมือปฏิบัติ ส่วนในประเด็นใหญ่ๆ อาจใช้เวลาเป็น 10 ปีหรือมากกว่า ที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงนโยบายได้ บทบาทการใช้วิจารณญาณสาธารณะ คือ รักษาการเดินทางที่ยาวนานนั้นไว้ โดยไม่มีการตำหนิที่ไม่สร้างสรรค์
ในที่สุด การใช้วิจารณญาณสาธารณะมีผลต่อการกำหนดนโยบายอย่างเป็นทางการหรือไม่ มีประจักษ์พยานว่ามันได้เกิดขึ้นจริง การศึกษาของ Page และ Shapiro พบว่ามีหลายประเด็นที่ ความคิดเห็นสาธารณะสามารถกำหนดนโยบายรัฐบาลอย่างเป็นอิสระ และกรุยทางให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของนโยบายนั้น
6.4 เปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ
เจ้าหน้าที่รัฐมักจะมีความคับข้องใจเรื่องความสัมพันธ์กับประชาชน เช่นเดียวกันกับประชาชนที่มีต่อเจ้าหน้าที่ พวกเขาอาจต้องการทำงานกับประชาชนจริงๆ แต่มักประสบกับอุปสรรคที่รุนแรงที่คนอื่นๆ ควรจะเข้าใจ เจ้าหน้าที่ที่ฟังการพูดคุยในเวทีหารือของประชาชน อาจถูกต่อว่าจากการที่ไม่ทำงานในหน้าที่ให้ดีพอ พวกเขาอาจมีปัญหาในการทำงานกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ที่เห็นว่า พวกเขานั้นเปิดเผยกับสาธารณะมากเกินไป หรือกลุ่มผลประโยชน์อาจโจมตีเจ้าหน้าที่ที่เข้าร่วมหารือกับประชาชน แทนที่จะไปต่อรองกับประชาชน กลุ่มต่อต้านเหล่านี้บางครั้งต่อต้านการวางกรอบประเด็นปัญหาให้เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ กลุ่มเหล่านี้อาจวิจารณ์เจ้าหน้าที่ที่เห็นด้วยกับกรอบประเด็นปัญหาที่กว้างขวาง (เพราะรวมเอาทางเลือกต่างๆ ไว้อย่างหลากหลาย)
ประชาชนมักไม่ค่อยรู้ถึงปัญหาเหล่านี้ จึงไม่ได้ทำอะไรเพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ที่ชอบวิธีการทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์แบบดังกล่าว อย่างไรก็ตาม หากความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชนนี้ กำลังจะเปลี่ยนแปลง เพราะประชาชนมีเครื่องมือที่มีพลังในเวทีพูดคุยแบบใช้วิจารณญาณ
ข้อมูลที่ได้จากเวทีพูดคุยแบบใช้วิจารณญาณนี้ ไม่เพียงเป็นประโยชน์ เวทีการพูดคุยเองก็ได้สร้างบรรยากาศของการแลกเปลี่ยนข้อมูล แทนการ "ฟัง" ตามปกติ แน่นอนว่าประชาชนจะให้เจ้าหน้าที่เข้าร่วม ซึ่งหมายความว่าไม่ได้เข้ามาเพื่อปาฐกถา หรือมาโดยตำแหน่ง เขาต้องมาเพื่อค้นคว้า และทดสอบความคิดของเขาเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ
ลองจินตนาการดูว่ามีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเข้าร่วมเวที เพื่อดูการหาทางเลือกของประชาชนในเรื่องยากๆ ก่อนที่จะอธิบายว่าเวทีของสภานิติบัญญัติ หรือสภาเมืองจัดการกับทางเลือกในประเด็นปัญหาเดียวกันอย่างไร. ลองคิดถึงการที่ประชาชนไม่ได้ถามเจ้าหน้าที่ด้วยคำถามปกติ "คุณกำลังจะทำอะไรให้พวกเรา?" แต่กลับดึงเจ้าหน้าที่ให้เข้าร่วมกับการใช้วิจารณญาณของพวกเขา ด้วยการพูดว่า "นี่คือประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ของเรา นี่คือสิ่งที่เราเห็นว่าอาจเป็นความขัดแย้งได้ และนี่เป็นสิ่งที่เราพยายามแก้ความขัดแย้งเหล่านั้น (โดยตระหนักถึงข้อเสียของแนวทางการแก้ปัญหาที่เราชอบที่สุด) ตอนนี้ช่วยบอกเราว่าประสบการณ์ของคุณคืออะไร คุณเห็นอะไรบ้างที่เป็นข้อขัดแย้ง และคุณจะแก้ไขมันอย่างไร?" การหารือทำนองนี้ แน่นอนว่าต้องเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ระหว่างประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ
6.5 ความรับผิดชอบที่ไม่ต้องมอบหมาย
ในที่สุดควรกล่าวว่า การใช้วิจารณญาณและผลผลิตที่ได้จากมันเป็นสิ่งที่สำคัญมากและขาดไม่ได้ ในการช่วยให้ประชาชนพบกับข้อบังคับของตัวเองในระบอบประชาธิปไตย ความรับผิดชอบเหล่านี้ไม่สามารถมอบหมายให้กับรัฐบาล แต่เป็นสิ่งที่ประชากรของระบอบประชาธิปไตยจะต้องกระทำเอง เพื่อให้รัฐบาลที่เป็นตัวแทนทำงานต่อไป แม้แต่รัฐบาลที่ดีที่สุดก็ไม่สามารถสร้างความชอบธรรมได้ด้วยตนเอง รัฐบาลไม่สามารถระบุเป้าประสงค์ของตนเองหรือสร้างมาตรฐาน หรือทิศทางให้กับสิ่งที่ตนเองจะต้องทำ แม้เรามักจะคาดหวังให้รัฐบาลทำก็ตาม รัฐบาลไม่สามารถสร้าง และรักษาไว้ซึ่งการตัดสินใจเรื่องยากๆ ที่ประชาชนไม่เต็มใจสนับสนุน มีแต่สาธารณะเท่านั้นที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้
มากไปกว่านั้น รัฐบาลประชาธิปไตยหากต้องการอยู่ในตำแหน่งในระยะยาวอย่างมั่นคง จำเป็นต้องการการสนับสนุนจากประชาชนอย่างกว้างขวาง รากฐานของรัฐบาลอยู่ที่พื้นฐานร่วมสำหรับกระทำการร่วมกัน ซึ่งมีแต่ประชาชนเท่านั้นที่ทำได้ รัฐบาลสามารถสร้างทางด่วนให้เราได้ แต่ไม่ใช่สร้างพื้นฐานร่วมสำหรับกระทำการร่วมกันให้เราได้ แม้ว่ารัฐบาลคณะที่มีอำนาจที่สุด ก็ไม่สามารถสร้างความต้องการของสาธารณะ สำหรับการกระทำทางการเมืองที่มีประสิทธิภาพ รัฐบาลสามารถสั่งให้มีการให้เกิดการเชื่อฟังได้ แต่ไม่สามารถสร้างความมุ่งมั่นได้
สุดท้าย ขึ้นกับพวกเราในฐานะสมาชิกที่จะเปลี่ยนผ่านจากความเป็นปัจเจกไปสู่ความเป็นพลเมือง พลเมืองสามารถสร้างรัฐบาล แต่รัฐบาลไม่สามารถสร้างพลเมืองได้ เพราะปัจเจกจะเปลี่ยนมาเป็นพลเมืองได้นั้น ด้วยการเข้าร่วมงานกับสาธารณะเท่านั้น
7. การใช้วิจารณญาณจะเปลี่ยนความคิดเห็นของเราที่มีต่อความคิดเห็นของคนอื่น
การเอาคนจาก 2 ขั้วของเรื่องการทำแท้งมาพูดคุยกันในเวทีสาธารณะ ผลคือ คนที่ปกติพูดกันด้วความโกรธ ได้ฟังกันมากขึ้น
Jule Zimet ผู้มีประสบการณ์การจัดเวทีพูดคุยมานาน กล่าวว่าเวทีพูดคุยคือตัวอย่างที่ดีในการแสดงว่า การใช้วิจารณญาณสามารถเปลี่ยนความคิดเห็นสาธารณะซึ่งมักจะแคบและตื้น มาเป็นการตัดสินใจของสาธารณะซึ่งรวมเอาเหตุผลสำคัญๆ ที่คนอื่นมี ในมุมมองที่ต่างออกไป สาเหตุที่การพูดคุยมีความยากลำบาก ก็เพราะด้วยวิธีการที่เราถูกอบรมมา วัฒนธรรมของเราฝึกเรามาให้โต้เถียงกับผู้อื่น ดังนั้น เราจึงมักได้ยินแต่ประเด็นที่เห็นต่างกัน
Zimet กล่าวว่าเธอประหลาดใจที่พบว่า เวทีที่ใช้วิจารณญาณช่วยให้คนเรียนรู้ที่จะทำงานด้วยกัน แต่เธอประหลาดใจมากกว่ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตัวเธอเอง "เท่าที่จำได้ ฉันอยู่ข้างหนึ่งของประเด็นนี้มานาน" ระหว่างการทำงานกับเวทีพูดคุยแบบนี้ เธอเคยคิดว่า ถ้าเธอยอมให้กับเรื่องนี้ 1 นิ้ว อีกด้านหนึ่งก็จะรุกเข้ามา 1 ไมล์ แต่จากประสบการณ์ เธอพบว่า "ฉันได้รับการยอมรับนับถือมากจากอีกฝ่ายหนึ่ง" แม้ว่าเธอจะไม่เปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ มุมมองของเธอเปลี่ยนไปจากที่มองแบบขาว-ดำ มาเป็นการมองที่มีความละเอียดอ่อนขึ้น
เธอเห็นการเปลี่ยนแปลงที่คล้ายกันในคนที่เข้าร่วมเวทีที่ใช้วิจารณญาณ เช่น ผู้หญิงคนหนึ่งที่ช่วยในการวางแผนการจัดเวทีพูดคุยซึ่งเข้าร่วมในเวทีพูดคุยต่อมา ในเรื่อง "เสรีภาพในการพูด" เมื่อ Zimet ถามเธอถึงความคิดเห็นที่จะเชิญคนๆ หนึ่งมานำเสนอความเห็นที่เป็นด้านตรงข้ามในเวทีพูดคุยนี้ หญิงคนนั้นเห็นด้วยกับความเห็นของ Zimet แต่เธอกล่าวว่าเธอไม่จำเป็นต้องนั่งติดกับเขา แต่หลังจากจบเวทีพูดคุย Zimet พบว่าทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกัน และกำลังพูดคุยกันถึงเรื่องแนวโน้มในสังคมที่กวนใจเขาทั้งสอง
เราเรียนรู้ที่จะฟังได้อย่างแตกต่างจากเดิม ทำให้เราเกิดความไว้วางใจกันในระดับที่แตกต่างกัน นั่นคือพื้นฐานของการสร้างสิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้นในชุมชน
8. กรณีที่จะใช้วิจารณญาณสาธารณะ
การใช้วิจารณญาณสาธารณะนั้น กล่าวง่ายๆ คือ เพื่อให้การเมืองที่เป็นประชาธิปไตยได้ทำงานอย่างที่มันควรทำ นั่นคือ สาธารณะจะต้องเข้ามาร่วมกระทำการ เพราะการลงคะแนนเลือกตั้งอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ ไม่เพียงพอทั้งการสนับสนุนนักการเมืองที่เราเลือกเข้ามา อีกทั้งยังไม่เพียงพอที่จะมีเพียงความคิดเห็น หรือติดตามสถานการณ์ปัจจุบันเท่านั้น แต่ก่อนที่เราจะสามารถกระทำการในฐานะสาธารณะได้ เราจะต้องตัดสินใจว่าจะตัดสินใจอย่างไร ก่อน
การใช้วิจารณญาณสาธารณะ เป็นชื่อหนึ่งของวิธีการที่เราจะตัดสินใจว่า เราจะกระทำการเรื่องหนึ่งๆ อย่างไร ในการเลือกทางเลือกหนึ่งๆ นั้น เราต้องพิจารณาเรื่องต้นทุนที่ต้องจ่าย และผลที่ตามมาของทางเลือกนั้นๆ เมื่อผู้คนเริ่มรับรู้ถึงความแตกต่างของทางเลือก ผ่านประเด็นต้นทุนที่ต้องจ่าย และผลที่จะตามมา จะช่วยทำให้พวกเขาให้หาทางเลือกหรือชุดของการกระทำ ที่เข้ากันกับสิ่งที่เป็นคุณค่าของชุมชนทั้งหมด และด้วยวิธีการนี้ สาธารณะจึงสามารถระบุผลประโยชน์ของสาธารณะได้อย่างเป็นเรื่องๆ ไป
การใช้วิจารณญาณสาธารณะ ไม่ใช่กระบวนการรักษาสำหรับทุกสิ่งที่ทำให้การเมืองบิดเบี้ยว และไม่ใช่ยาแก้สำหรับทุกโรค แต่มันเป็นส่วนสำคัญของการเมืองแบบประชาธิปไตย
9. การใช้วิจารณญาณเพิ่มความสามารถของชุมชนในการกระทำการร่วมกัน
ยุงเป็นปัญหาใหญ่ที่ Twin Lakes รัฐ Ohio เมื่อ "สมาคมเพื่อนบ้าน" ตัดสินใจที่จะหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ Bob Walker ประธานของสมาคมฯ ต้องการทำให้การหารือเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ เพราะเรื่องนี้เป็นประเด็นที่อ่อนไหวมาก เนื่องจาก Walker มีประสบการณ์อย่างเข้มข้นในการเป็นวิทยากรกระบวนการสำหรับเวทีพูดคุยระดับชาติมาก่อน เขาเลือกใช้วิธีใช้วิจารณญาณในการหารือเรื่องนี้ จากประสบการณ์นี้ เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงว่าวิธีการใช้วิจารณญาณสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิธีการที่ชุมชนกล่าวถึงปัญหานี้ได้
เขารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการควบคุมยุงจากทั่วประเทศ มาทำเป็นหนังสือ 4 หน้า แสดงถึงแนวทาง 3 ประการที่พบบ่อยในการแก้ปัญหานี้ เขาเช่าห้องประชุมในท้องถิ่นพร้อมเครื่องเสียง แล้วส่งจดหมายเชิญคนในชุมชนให้มาร่วมพิจารณาแนวทางทั้ง 3. มีคนเข้าร่วมประมาณ 50 คน ผลการใช้วิจารณญาณพิจารณาปัญหา ทำให้เกิดการก่อตั้งคณะกรรมการเพื่อการกำจัดแมลงที่มีการทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดขึ้น
ที่ Wayne รัฐ Nebraska ได้มีเวทีหารือในสถานการณ์ที่ต่างกัน คือ มีโบสถ์ Lutheran อยู่ 2 แห่งในชุมชน ที่แยกกันเพราะเรื่องภาษา (โบสถ์หนึ่งใช้ภาษาเยอรมัน อีกแห่งใช้ภาษาอังกฤษ) โบสถ์ทั้ง 2 แห่งมีปัญหาเหมือนกันคือ มีคนเข้าโบสถ์น้อยลง องค์กรในชุมชนจึงเสนอให้รวมโบสถ์ทั้งสองเข้าด้วยกัน แต่ด้วยประวัติศาสตร์ของทั้ง 2 โบสถ์นี้ ทำให้มีโอกาสน้อยมากที่โบสถ์ทั้ง 2 จะรวมกันได้ ปัญหานี้ถูกทิ้งไว้ระยะหนึ่ง ชาวบ้านต่างหลีกเลี่ยงที่จะการกล่าวถึงปัญหานี้ แต่คนบางคนที่เคยไปร่วมเวทีประเด็นสาธารณะระดับชาติมาก่อน ได้เสนอให้ตั้งเวทีพูดคุยร่วมขึ้นมา โดยยึดเอามุมมองทางวัฒนธรรม และการอยู่รอดของโบสถ์เป็นหลัก โดยให้คนที่เคยได้รับการอบรมจากเวทีประเด็นสาธารณะระดับชาติ ได้วางกรอบเรื่องการรวมกันของโบสถ์ แล้วจัดการประชุมขึ้น
Ropes-Gale สมาชิกในชุมชนคนหนึ่งกล่าวว่า "ฉันเคยอาศัยอยู่ตั้งแต่ชายแดนหนึ่งจนถึงอีกชายแดนหนึ่ง ฉันเป็นภรรยาของทหารมา 10 ปี ฉันได้ทำทุกอย่างมาแล้ว จนมาทำงานกับสภามนุษยธรรม และฉันไม่เคยเห็นกลุ่มคนใดเลยที่ไม่ได้ประโยชน์จากวิธีการใช้วิจารณญาณนี้"
10. การเป็น ผู้ดำเนินการประชุม สำหรับการใช้วิจารณญาณ
ต่อไปนี้ คือ แนวทางพื้นฐานสำหรับผู้ที่สนใจที่จะเป็น ผู้ดำเนินการประชุม ของการใช้วิจารณญาณ
10.1 การวางข้อตกลงร่วมในการพูดคุย
การใช้วิจารณญาณจะได้ผลดีเมื่อมีการพูดบนข้อตกลงร่วมกันบางอย่างตั้งแต่เริ่มต้น ข้อตกลงเหล่านี้จะช่วยป้องกันความยากลำบากที่จะเกิดขึ้นระหว่างการพูดคุย
- ข้อตกลงพื้นฐานที่สุด คือเรื่องจุดประสงค์ของเวทีพูดคุย ที่จะนำไปสู่ การตัดสินใจเพื่อเลือกทางเลือก ผู้ดำเนินการประชุม ควรให้ผู้เข้าร่วมได้ร่วมกันออกข้อตกลงพื้นฐานในการพูดคุย มากกว่าที่จะประกาศข้อตกลงเหล่านั้นออกไปเอง
- กระตุ้นให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม ไม่ให้มีคนใดคนหนึ่งเด่นหรือโน้มน้าวกลุ่ม (โดยให้เป็นข้อตกลงร่วมก่อนเริ่มการหารือ ซึ่งพบว่าเป็นเรื่องง่ายกว่าการที่จะหยุดคนที่พยายามจะนำเวที ในภายหลัง)
- การฟัง มีความสำคัญพอๆ กับการพูด
- ผู้เข้าร่วมควรจะพูดกับผู้เข้าร่วมอื่นๆ ไม่ใช่เพียงกับ ผู้ดำเนินการประชุม
- ผู้ดำเนินการประชุม หรือคนอื่นๆ ในกลุ่มอาจเข้าร่วมพูดคุยได้เป็นครั้งคราว เพื่อทำให้การหารือยังอยู่ในประเด็น
- ผู้เข้าร่วมต้องมีความเป็นธรรมในการพิจารณาทางเลือกทุกๆ ทางเลือก และตรวจสอบถึงสิ่งที่ต้องเสีย หรือแลกเปลี่ยนในแต่ละทางเลือก ความคิดเห็นที่หลากหลายนี้เป็นสิ่งสำคัญ และหากมีทางเลือกใดทางเลือกหนึ่งที่ไม่มีใครในกลุ่มเลือกเลย ผู้ดำเนินการประชุม อาจตั้งคำถามว่า "ลองคิดดูว่า คนที่ชอบทางเลือกนี้ จะพูดว่าอะไรได้บ้าง"
10.2 คำถาม 4 ข้อ เพื่อกระตุ้นการใช้วิจารณญาณ
1. สิ่งที่มีคุณค่าสำหรับเรา คือ อะไร?
2. ค่าใช้จ่ายหรือผลที่จะตามมาจากทางเลือกต่างๆ เหล่านี้ คือ อะไร?
3. อะไรคือความขัดแย้งของประเด็นนี้ อะไร คือ สิ่งที่เราต้องจัดการ
4. เราสามารถตรวจจับความรู้สึกร่วมของทิศทาง หรือพื้นฐานร่วมสำหรับกระทำการณ์ร่วมกันได้หรือไม่
(1) สิ่งที่มีคุณค่าสำหรับเรา คือ อะไร?
การต้องเลือกแนวทางใดแนวทางหนึ่งสำหรับสาธารณะเป็นสิ่งที่ยาก เพราะทุกทางเลือกมีรากฐานมาจากสิ่งที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งให้ความสนใจอย่างลึกซึ้ง เราอาจตั้งคำถามได้หลายๆ รูปแบบ เช่น
- เรื่องนี้มีผลกระทบต่อคุณเป็นการส่วนตัวอย่างไรบ้าง (ปกติใช้คำถามนี้ตอนเริ่มต้นของการพูดคุย)
- ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับทางเลือกนี้ คือ อะไรบ้าง?
- อะไรทำให้ทางเลือกนี้ เป็นทางเลือกที่ดี หรือทางเลือกที่ไม่ดี
เพื่อให้ผู้เข้าร่วมเวทีแต่ละคน ได้เปิดเผยทุกๆ ความห่วงใยที่ลึกซึ้งของแต่ละคน ผู้เข้าร่วมหรือ ผู้ดำเนินการประชุม สามารถถามคนที่เข้าร่วมคนอื่นๆ ว่า ทำไม หรือ มีความเป็นมาอย่างไร เขาจึงมีความเห็นหรือคิดเช่นนั้น ให้เขาได้พูดเกี่ยวกับประสบการณ์ตรง ไม่เพียงการพูดถึงข้อเท็จจริง หรือการโต้แย้งโดยใช้เหตุผลเท่านั้น
(2) ต้นทุนที่ต้องจ่าย หรือผลที่จะตามมาจากทางเลือกต่างๆ เหล่านี้ คือ อะไร?
คำถามนี้ก็เช่นกัน สามารถทำได้ในรูปแบบต่างๆ ตราบเท่าที่เป็นการกระตุ้นให้คนที่เข้าร่วมเวทีพูดคุยได้คิด เกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดจากทางเลือกทั้งหลายเหล่านั้น ต่อสิ่งที่เป็นคุณค่าสำหรับพวกเขา เพราะการใช้วิจารณญาณ ต้องการการประเมินผลสิ่งที่สนับสนุน (ด้านบวก) และที่คัดง้าง (ด้านลบ) ของทางเลือกต่างๆ เหล่านั้น ทั้งนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมั่นใจว่าทั้ง 2 ฝ่ายต่างเปิดเผยต่อกันและกัน และต้องมีคำถามที่ทำให้เกิดความมั่นใจ ว่าทำให้เกิดความยุติธรรม และความสมดุลในการตรวจสอบความเป็นไปได้ของผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
- อะไรน่าจะเป็นผลที่ตามมาจากการกระทำตามที่คุณได้เสนอแนะมา
- อะไร คือ ข้อโต้แย้งต่อทางเลือกที่คุณชอบมากที่สุด หรือผลเสียจากทางเลือกนี้
- มีใครคิดอะไรที่สร้างสรรค์ ที่อาจได้มาจากทางเลือกที่กำลังถูกวิจารณ์อย่างหนักนี้
(3) อะไรคือความขัดแย้งของประเด็นที่กำลังหารือนี้ อะไรคือสิ่งที่เราต้องจัดการ
ขณะที่เวทีพูดคุยกำลังดำเนินไป ผู้เข้าร่วมหรือ ผู้ดำเนินการประชุม อาจตั้งคำถาม
- คุณเห็นอะไรที่เป็นความตึงเครียด หรือเป็นความขัดแย้งระหว่างทางเลือกเหล่านี้
- อะไรคือ "พื้นที่สีเทา" หรือ อะไรคือสิ่งที่ยังคลุมเครือ ไม่ชัดเจน
- ทำไมเรื่องนี้จึงตัดสินใจยากนัก
(4) เราสามารถตรวจจับความรู้สึกร่วมของทิศทาง หรือพื้นฐานร่วมสำหรับกระทำการณ์ร่วมกันได้หรือไม่
หลังจากแจ้งแก่ผู้เข้าร่วมเวทีการพูดคุยว่าวัตถุประสงค์ของของเวทีนี้คือ การทำงานเพื่อมุ่งไปสู่การตัดสินใจ ผู้ดำเนินการประชุมหรือคนอื่นๆ อาจแทรกแซงเป็นครั้งคราวด้วยคำถามที่ทำให้การใช้วิจารณญาณมุ่งไปสู่การสร้างทางเลือกต่างๆ และทำการหยุดการหารือเป็นระยะๆ เพื่อแสวงหาความเห็นร่วมกันหรือการโต้แย้งสำหรับทางออกที่เฉพาะเจาะจงทางใดทางหนึ่ง หลังจากนั้น เมื่อพบว่า ความตึงเครียดเริ่มชัดเจนขึ้น คนเริ่มเห็นว่าพวกเขาถูกดึงไปในทิศทางที่ต่างกัน โดยถือหลักของสิ่งที่พวกเขาเห็นเป็นคุณค่า ผู้ดำเนินการประชุม อาจใช้คำถามต่อไปนี้ เพื่อดูว่ากลุ่มกำลังไปทางไหน
- ทิศทางไหนที่ดูเหมือนจะดีที่สุด หรือที่เราต้องการไปทางใดสำหรับนโยบายนี้
- สิ่งที่ต้องแลกหากเราเลือกทางเลือกนี้ ทั้งที่เรายอมรับได้ และที่ยอมไม่ได้คืออะไร
- อะไรคือสิ่งที่เราเต็มใจ / ไม่เต็มใจจะทำทั้งในฐานะปัจเจก และฐานะชุมชน เพื่อแก้ปัญหานี้
หัวใจของการใช้วิจารณญาณ คือ คำถามที่ว่า เราเต็มใจที่จะยอมรับผลที่จะเกิดตามมาจากทางเลือกของเรา ซึ่งอาจนำไปสู่การอภิปรายสำหรับคำถามต่อไปนี้
- หากทางเลือกที่เราชอบมีผลกระทบต่อผู้อื่น เราจะยังคงชอบนโยบายหรือทางเลือกนี้อยู่หรือไม่
10.3 การจบเวทีพูดคุย
ก่อนที่จะจบการพูดคุย เป็นการดีที่จะสะท้อนให้เห็นทั้งในระดับปัจเจก และในฐานะกลุ่ม ถึงสิ่งที่ได้ทำสำเร็จจากเวทีนี้ คำถามต่อไปนี้จะเป็นประโยชน์
- คุณคิดว่าประเด็นที่เรานำมาหารือกันนี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
- คุณเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อความคิดเห็นของคนอื่นอย่างไรบ้าง
- ทำไมเราถึงผ่านมันไปไม่ได้ (หากมีประเด็นที่ยังค้างคา)
- เรายังต้องหารือเรื่องอะไรต่อไปอีก
- เราสามารถใช้สิ่งที่ได้เรียนรู้จากเวทีนี้อย่างไรบ้าง
คำถามข้างต้นนี้ ไม่ได้หมายความว่าให้ผู้ดำเนินการประชุม เข้าแทรกแซงอยู่ตลอดเวลา แต่ในทางตรงกันข้าม ผู้ดำเนินการประชุมที่ดี ต้องกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมประชุมผูกพันเข้าด้วยกัน ซึ่งจะเกิดเมื่อผู้ดำเนินการประชุมให้ผู้เข้าร่วมได้พูดคุยกันโดยตรง และไม่เข้าแทรกแซงกับทุกๆ ข้อคิดเห็น หรืออาจทำได้โดยคำถามพื้นๆ ที่จะเชื่อมคนเข้าด้วยกัน เช่น "มีใครมีความเห็นกับสิ่งที่คุณซาร่าเสนอหรือไม่" ผู้ดำเนินการประชุมควรชี้ให้เห็นตั้งแต่ตอนเริ่มต้นเวที ว่า ความรับผิดชอบในการใช้วิจารณญาณ คือ ความรับผิดชอบของกลุ่ม นอกจากนี้ ผู้ดำเนินการประชุมต้องทำตัวให้เป็นกลาง เพื่อให้กลุ่มสามารถพิจารณาทางเลือกต่างๆ ได้อย่างเป็นธรรม
11. การจัดเวทีพูดคุย
เวทีการพูดคุยแบบใช้วิจารณญาณนี้ เป็นโอกาสให้สาธารณะได้ทำงาน และคุณอาจต้องการให้เกิดขึ้นบ้างในชุมชนของคุณ แม้ว่าการใช้วิจารณญาณสาธารณะจะเกิดขึ้นมาเองได้โดยไม่เป็นทางการ แต่จะเกิดประโยชน์กับชุมชนมากกว่าถ้ามีการจัดการให้เกิดการตอบสนอง หรือการพูดคุยอย่างสร้างสรรค์ในประเด็นที่หารือ. เวทีการพูดคุยนี้ อาจถูกจัดโดยห้องสมุดสาธารณะ, ศูนย์กลางชุมชน, หรือองค์กรทางศาสนา. บางคนอาจจัดเวทีการพูดคุยนี้ในห้องนั่งเล่นที่บ้านก็ได้. บางกรณี เวทีการพูดคุยนี้ถูกรวมเข้าไว้ในหลักสูตรการเรียนของโรงเรียนและวิทยาลัย เพื่อสอนทักษะในการตัดสินใจร่วมกัน รวมทั้งโครงการการเป็นผู้นำต่างๆ มักมีเวทีการพูดคุยแบบนี้ เพื่อวัตถุประสงค์เดียวกันนี้
บางกลุ่มอาจจัดให้มีเวทีการพูดคุย เป็นจำนวนที่แน่นอนในแต่ละปี บางกลุ่มอาจจัดให้มีเพียงครั้งเดียว เพื่อตอบสนองต่อปัญหาเฉพาะเจาะจงในท้องถิ่น เช่น พันธมิตรของตำรวจและองค์กรประชาสังคม ได้ร่วมกันจัดเวทีพูดคุยเรื่อง "ความรุนแรงในวัยเด็ก" ส่วนขนาดของกลุ่มนั้น อาจตั้งแต่ 7 คน ประชุมกันที่ชั้นใต้ดินของโบสถ์ ถึง 300 คน ประชุมกันที่ห้องประชุมของมหาวิทยาลัย
แม้ว่าการใช้วิจารณญาณจะมีประสิทธิผลในการแก้ปัญหาระยะสั้นสำหรับบางปัญหาได้ แต่ผลประโยชน์ที่สำคัญเกิดเมื่อผู้คนมีพันธะสัญญาระยะยาว ที่จะจัดให้มีเวทีการพูดคุยกันในเรื่องต่างๆ การได้มีเวทีการใช้วิจารณญาณอย่างสม่ำเสมอจะทำให้ชุมชนเริ่มเปลี่ยนแปลง "พฤติกรรมต่อสาธารณะ" (civic habits) ดังนั้น เมื่อเกิดเรื่องหนักๆ ขึ้นในชุมชนหรือสังคม ผู้คนจะเคยชินกับการตัดสินใจร่วมกัน
11.1 การใช้หนังสือประเด็น (issue books) (1)
เวทีการพูดคุยจะประสบความสำเร็จ ถ้าคนที่เข้าร่วมส่วนใหญ่ได้อ่านประเด็นต่างๆ ในหนังสือมาก่อนเข้าร่วมพูดคุย
11.2 เวลาที่ใช้สำหรับเวทีพูดคุย
คนส่วนใหญ่กำหนดเวลาไว้ที่ 2 ชั่วโมง แต่ไม่มีกำหนดเวลาตายตัว บางคนอาจชอบ 3 ชั่วโมง เพราะทำให้คนเข้าร่วมได้มีเวลาแสดงความคิดเห็นได้อย่างถี่ถ้วน และไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้เข้าร่วมจะต้องเข้าร่วมเวทีพูดคุยครั้งละ 2 ชั่วโมง เป็นจำนวน 3 - 4 ครั้ง เพื่อหารือในประเด็นปัญหาอย่างลึกซึ้ง
11.3 อย่าทำตามลำพัง
เพื่อให้ การใช้วิจารณญาณได้หยั่งรากและเติบโตต่อไป ต้องมีคนมากกว่า 1 คนมีพันธะสัญญาร่วมกัน เวทีที่ประสบความสำเร็จมักมี "คณะทำงาน" ในการวางแผนและจัดการเวทีพูดคุย ขนาดและโครงสร้างของคณะทำงานขึ้นกับสถานการณ์. สำหรับกฎทั่วๆ ไป ยิ่งเวทีพูดคุยมีขนาดใหญ่ หรือมีการจัดเวทีมากครั้ง ยิ่งต้องการคณะทำงานมาทำงานมากขึ้น
ในบางชุมชน พันธมิตรขององค์กรต่างๆ มาร่วมกันจัดเวทีพูดคุยขนาดใหญ่ หรือการพูดคุยหลายๆ ครั้งในประเด็นเดียวกัน โดยการลงขันร่วมกัน ทำให้มีคนมากขึ้นในการช่วยจัดงาน
11.4 การอบรม ผู้ดำเนินการประชุม
การใช้วิจารณญาณจะมีประสิทธิภาพเมื่อมีผู้ดำเนินการประชุมที่เข้าใจกระบวนการการใช้วิจารณญาณ และมีความคุ้นเคยกับประเด็นที่จะหารือกัน
คนที่เคยเป็นผู้ดำเนินการประชุม ในการพูดคุยแบบอื่นๆ แต่ไม่ชัดเจนว่าการพูดคุยแบบใช้วิจารณญาณนั้นแตกต่างจากการพูดคุยทั่วไปอย่างไร อาจใช้เทคนิคนำการพูดคุยที่ขัดขวางการพูดคุยแบบใช้วิจารณญาณ เช่น วิธีการที่เหมือนการสอนเกี่ยวกับประเด็นที่จะหารือ แล้วตอบคำถามของผู้เข้าร่วม หรือมี "ผู้เชี่ยวชาญ" วางกรอบของประเด็นที่หารือ หรือทำให้เวทีหลงทางไปจากการที่ต้องทำงานร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจ
11.5 ค่าใช้จ่าย
เวทีพูดคุยที่ประสบความสำเร็จหลายๆ แห่งเกือบไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น คนทำงานส่วนใหญ่เป็นอาสาสมัคร บางที่อาจมีค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ดำเนินการประชุม. ค่าใช้จ่ายที่สำคัญ คือ การซื้อหนังสือประเด็นและม้วนวีดีโอ การลงประกาศเชิญคนเข้าร่วมเวที และการแถลงข่าวผลของการพูดคุย รวมทั้งค่าอาหารว่าง แต่หลายๆ องค์กรจัดการกับค่าใช้จ่ายเหล่านี้ โดย
- ขอให้ห้องสมุดซื้อหนังสือประเด็นและม้วนวีดีโอ เพื่อให้คนได้ยืมมาใช้
- คิดค่าใช้จ่ายจากผู้เข้าร่วมพอเป็นพิธี สำหรับเป็นค่าหนังสือ หรือจัดการให้ร้านหนังสือในท้องถิ่นจัดหาหนังสือนั้นไว้
- ขอการสนับสนุนจากนักธุรกิจในท้องถิ่นให้ออกค่าใช้จ่ายให้ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการประกาศชื่อให้ในเวทีสาธารณะ
- กระตุ้นให้นายจ้างของคณะทำงานออกค่าใช้จ่ายบางอย่างให้ เช่น ค่าถ่ายเอกสาร หรือการส่งจดหมายเชิญ
11.6 เชิญคนมาเข้าร่วม: ไปในที่ที่มีคนอย
โดยปกติแล้ว จำนวนผู้เข้าร่วมจะเปลี่ยนแปลงไปขึ้นกับความเข้มข้นของการโฆษณา และการประชาสัมพันธ์ของคณะทำงาน โดยที่บางครั้ง แม้จะมีการเตรียมการที่ดีที่สุด แต่คนเข้าร่วมก็อาจยังน้อยอยู่ ซึ่งขอยืนยันว่าเราต้องไม่ยอมแพ้ คนที่เข้าร่วมเพียงจำนวนไม่มากในเวทีหนึ่งๆ ก็ไม่จำเป็นต้องทำให้โครงการทั้งหมดของการใช้วิจารณญาณของชุมชนต้องล้มเลิก
ทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้คนเข้าร่วม คือ การไปจัดเวทีในที่ที่มีคนอยู่ ซึ่งพบว่า เวทีพูดคุยหลายๆ เวที ที่ต้องมีการพูดคุยหลายๆ ครั้ง ได้จัดโดยเชื่อมเข้ากับกิจกรรมของโบสถ์และห้องสมุด
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สำหรับผู้สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก
http://www.nifi.org/http://www.theharwoodinstitute.org/http://www.kettering.org/++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เชิงอรรถ
(1) ดูตัวอย่างหนังสือประเด็นที่ใช้ประกอบในเวทีการประชุม ใน
http://www.nifi.org/discussion_guides/index.aspx